เรียกว่าทำเอายักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล (Google) ไปไม่เป็นเลยทีเดียว เมื่อเจอโฆษณาบนทีวีจากค่ายเบอร์เกอร์คิง (Burger King) ที่นำช่องโหว่ของบริการผู้ช่วยจากกูเกิล (Google Assistant) มาสร้างประโยชน์ในตนเองจนได้รับการพูดถึงจากสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง
โดยนักแสดงจากโฆษณาดังกล่าวของเบอร์เกอร์คิง ได้เริ่มจากประโยคพูดที่ว่า “นี่เป็นโฆษณาความยาวแค่ 15 วินาที ดังนั้น จึงไม่มีเวลามากพอจะบอกว่า วอปเปอร์เบอร์เกอร์นั้นเป็นอย่างไร” แต่แล้วตัวแสดงก็ทำเหมือนนึกขึ้นได้ และเรียกกล้องเข้ามาใกล้ๆ เพื่อพูดประโยคที่ว่า “Ok, Google” (เป็นประโยคที่ปลุกให้ผู้ช่วยบนกูเกิล โฮม (Google Home) และบนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ขึ้นมาทำงาน) และตามด้วยประโยคที่ว่า “What is the Whopper burger?” เพียงเท่านี้ ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เมื่อ Google Home ที่อยู่ตามบ้าน หรือโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ต่างก็วิ่งตรงไปยังวิกิพีเดีย (Wikipedia) และเริ่มบรรยายสรรพคุณของวอปเปอร์เบอร์เกอร์กันใหญ่
แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขจากกูเกิลว่า สามารถจำหน่ายกูเกิลโฮมได้ทั้งหมดเท่าไร แต่ก็มีการคาดการณ์กันว่า จากโฆษณาครั้งนี้ของเบอร์เกอร์คิง มีกูเกิลโฮมในสหรัฐอเมริกา ที่ถูกปลุกขึ้นมาไม่เกิน 500,000 เครื่องเท่านั้น
รายงานจาก TheNextWeb ได้วิเคราะห์สาเหตุที่มีกูเกิลโฮมตกเป็นเหยื่อจำนวนไม่มากนักเป็น เพราะว่าผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของกูเกิลโฮม คือ กลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งกลุ่มมิลเลนเนียลนี้ไม่ใช่กลุ่มที่มีพฤติกรรมการรับชมรายการต่างๆ จากทีวีมากเท่าใดนัก โดยกลุ่มมิลเลนเนียลซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่นิยมการรับชมรายการต่างๆ ผ่านบริการสตรีมมิ่งมากกว่านั่นเอง
อย่างไรก็ดี ในเวลาเพียงไม่นาน กูเกิลได้ออกมาสกัดการทำงานของ Google Assistant ไม่ให้ตอบรับต่อโฆษณาของเบอร์เกอร์คิงเวอร์ชันแรกแล้ว แต่เบอร์เกอร์คิงก็ยังไม่หยุด โดยได้มีการออกโฆษณาเวอร์ชันสองตามมาอีก 3 ตัว ซึ่งทั้งสามตัวนี้ใช้ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่มีการเปลี่ยนเสียงของนักแสดงให้แหบขึ้น บางคลิปก็เปลี่ยนเสียงให้แหลมเล็ก เพื่อให้การบล็อกของ Google Assistant ไม่เป็นผลนั่นเอง
แต่ขณะเดียวกัน ในวิกิพีเดียก็มีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้าไปเปลี่ยนแปลงสูตรของวอปเปอร์เบอร์เกอร์กันจนเป็นที่สนุกสนาน เช่น ในคลิปของ BusinessInsider ด้านล่างนี้ที่พบว่า ส่วนผสมของวอปเปอร์เบอร์เกอร์ แทนที่จะเป็นเนื้อ ได้กลายเป็นเด็กขนาดกำลังพอดีย่างไปแล้ว
ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000038504