ยักษ์ใหญ่ร้านค้าปลอดอากรอันดับ 3 ของโลก “ล็อตเต้ กรุ๊ป” พร้อมเปิดบริการในไทยย่านพระราม 9 หลังทุ่ม 8 พันล้านบาท พร้อมเตรียมลงทุนเพิ่มทั้งรถเช่า-โรงแรม-ร้านเบอร์เกอร์ คาดอนาคตผู้นำค้าปลีกไทย “เซ็นทรัล-เดอะมอลล์” สยายปีกร่วมสนามรบ ฟาก “คิง เพาเวอร์” เร่งขยายการลงทุนพัฒนาธุรกิจในเครือฯ ปูทาง Top 5 ใน 5 ปี
นายสง่า เรืองวัฒนกุล กรรมการบริหาร บริษัท ล็อตเต้ ดิวตี้ ฟรี (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลอดอากร LOTTE DUTY FREE จากประเทศเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ใช้เวลาศึกษาโอกาสและตลาดในประเทศเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี จึงตัดสินใจเปิดสาขาแรก ณ ศูนย์การค้า SHOW DC พระราม 9 ตั้งแต่ปี 2558 โดยใช้งบประมาณลงทุน 8 พันล้านบาท บนพื้นที่ 1 หมื่นตร.ม.ครอบคลุมบริเวณชั้น 2-3 ศูนย์การค้า SHOW DC โดยเบื้องต้นจะเริ่มทดลองเปิดตัวให้บริการโดยเน้นจำหน่ายสินค้าไทยและโอทอปในเดือน พ.ค.ศกนี้ ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบในเดือน ก.ค.60 ถือเป็นร้านค้าปลอดอากรสาขาที่ 6 นอกประเทศเกาหลีใต้ และเป็นสาขาที่ 14 ของ “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ทั่วโลก
ประเทศไทยมีความน่าสนใจในการลงทุนด้านร้านค้าปลอดอากร เนื่องจากมีความท้าทายของตลาดที่มีผู้ประกอบการเพียงรายเดียว ประกอบกับพื้นที่ตั้งของ LOTTE DUTY FREE SHOW DC ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะเวลาการเดินทางจากสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 30 นาทีเท่านั้น
นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีแผนกระจายความเติบโตในด้านๆ ไปยังสนามบินอู่ตะเภา จ.ชลบุรี ซึ่งมีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึงปีละ 50 ล้านคน จึงทำให้เห็นโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการพักผ่อนหย่อนใจและความเป็นศูนย์กลางการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง (Leisure & Entertainment Hub) ในอนาคตอันใกล้
หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วจะมีสินค้าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นเอสเคยู เน้นสินค้าอินเตอร์แบรนด์มากกว่า 100 แบรนด์ แบ่งสัดส่วนเป็นสินค้ายุโรป 50% สินค้าไทย 30% และสินค้าเกาหลีใต้ 20% เน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไทย 20% และต่างชาติ 80% คิดเป็นชาวจีน 90% ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อบิลสูงถึงคนละ 4 พันบาท โดยคาดว่าช่วงแรกจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายสินค้าวันละไม่ต่ำกว่า 1 พันคน พร้อมสร้างยอดขายรวมเฉลี่ยเดือนละ 50 ล้านบาท
“นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสินค้าปลอดอากรสูงมาก เนื่องจากสินค้าแบรนด์เนมที่จำหน่ายในประเทศจีนมีกำแพงภาษีสูงถึง 30-40% เช่นเดียวกับการจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของไทย เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์ และอื่นๆ มีราคาสูงกว่าร้านค้าปลอดอากร 20-30% จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจค้าปลีกไทยที่จะเข้าสู่ธุรกิจร้านค้าปลอดอากรมากขึ้นเพื่อดึงกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ”
นายสง่า กล่าวด้วยว่า นอกจากลงทุนร้านค้าปลอดอากรแล้ว “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ยังมีการลงทุน บริษัท ล็อตเต้ เร้นท์-อะ-คาร์ (ไทยเลนด์) จำกัด ให้บริการรถชัตเติลบัสจำนวน 130 คัน เพื่อให้บริการรับ-ส่งนักท่องเที่ยวและลูกค้าแก่ศูนย์การค้า SHOW DC โดยยังมีแผนร่วมลงทุนก่อสร้างโรงแรมล็อตเต้โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ความสูง 30 ชั้น ขนาด 500 ห้องพัก พร้อมเปิดร้านเบอร์เกอร์ภายใต้ชื่อ “ลอตเตอเรีย” รวมถึงแผนการเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ “ล็อตเต้ มาร์ท” ซึ่งปัจจุบันมี 130 สาขาในเกาหลีใต้
คาด “เซ็นทรัล-เดอะมอลล์” สนใจร่วมวงลงทุนรายใหม่
ด้าน นางรวิษา พงศ์นุชิต นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย กล่าวเสริมว่า “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ถือเป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรอันดับที่ 3 ของโลก การเข้ามาลงทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการส่งเสริมการลงทุนที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกมากโดยเฉพาะจากผู้นำอันดับ 1 คือ DFS จากยุโรป รวมถึงกลุ่มทุนจากประเทศจีน
นางรวิษา ยังกล่าวถึงกรณีที่ “คิง เพาเวอร์” จะหมดอายุสัมปทานกับภาครัฐในปี 2560 ด้วยว่า ขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้ประกอบการกี่รายที่มาร่วมประมูลและเสนอผลประโยชน์ให้รัฐได้มากกว่ากัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว กรมศุลกากร มีการเปิดเสรีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังมีผู้สนใจลงทุนไม่มากนัก เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านงบลงทุน พันธมิตรผู้ร่วมค้า รวมถึงการส่งเสริมจากภาครัฐ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่มีอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อของนักท่องเที่ยว รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ด้านการท่องเที่ยว
ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ผู้ประกอบการไทยว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และเวียดนาม กำลังเร่งส่งเสริมการลงทุนด้านการเปิดเสรีการเปิดร้านค้าปลอดอากรอย่างจริงจังนั้น หากประเทศไทยไม่เร่งส่งเสริมการลงทุนอย่างเร่งด่วนจะทำให้เสียโอกาสทางการค้าและเปรียบเสมือนเป็นทางผ่านสินค้าเท่านั้น โดยคาดว่าขณะนี้ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยต่างกำลังศึกษารายละเอียดและสนใจที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น เซ็นทรัล, เดอะมอลล์ และอื่นๆ
“คิง เพาเวอร์” มุ่ง Top 5 ใน 5 ปี
ด้าน นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่าปัจจุบันคิง เพาเวอร์เปิดให้บริการ 4 สาขา ได้แก่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ พัทยา ศรีวารี ภูเก็ต และ 6 สนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง สุวรรณภูมิ เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอู่ตะเภา
ในปี 2560 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้วางกลยุทธ์การตลาดเพื่อผลักดันธุรกิจปลอดอากรไทยก้าวสู่ 5 อันดับแรกในธุรกิจปลอดอากรระดับโลกภายใน 5 ปี โดยมุ่งขยายการลงทุนพัฒนาธุรกิจในเครือฯ เพื่อก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก อาทิ ร้านค้าปลอดอากร “คิง เพาเวอร์”, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ, โรงละครอักษรา และภัตตาคารรามายณะ
นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนปรับโฉม “คิง เพาเวอร์” รางน้ำ ในช่วงวันที่ 26 เม.ย.60 โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/60 โดยก่อนหน้านั้นจะมีการจัดแคมเปญ “See You Soon SaleParty” มหกรรมลดราคาสินค้าสุดพิเศษสูงสุดถึง 70 % ระหว่างวันที่ 21-25 เม.ย.60
สปท.-สตง.ร่วมตรวจสอบ “คิง เพาเวอร์”
สำหรับกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ได้รับใบอนุญาตให้เปิดตัวร้านค้าปลอดภาษีและอากรในเมืองแห่งแรกของประเทศไทยที่อาคารมหาทุนพลาซ่า เมื่อปี 2532 จนกระทั่งได้รับสัมปทานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ให้เข้าบริหารพื้นที่สินค้าปลอดภาษีทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสนามบินตามหัวเมืองใหญ่ โดยเดิมทีสัมปทานจะสิ้นสุดในวันที่ 27 ก.ย.59 แต่ได้รับการอนุญาตให้ระยะเวลาขยายสัมปทานออกไปเป็น 27 ก.ย.61 และขยายอีกครั้งเป็นสิ้นสุด 27 ก.ย.63
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้นคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารจากหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งเข้าไปร่วมตรวจสอบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการทุจริตของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ร่วมกับ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ในการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินภูมิภาคโดยมีการตั้งประเด็นสอบ “คิง เพาเวอร์” ว่าเป็นธุรกิจผูกขาดจนทุบระบบการค้าเสรีพัง ทั้งยังพบว่ามีการเลี่ยงเข้าระบบ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทั้งที่มูลค่าโครงการเกิน 1 พันล้านบาท และยังพบว่ามีการลักไก่ต่อสัญญาให้อีก 2 ครั้ง
มีรายงานว่า นายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนยืนยันว่า “คิง เพาเวอร์” ดำเนินกิจการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนและยินดีให้ตรวจสอบ โดยวิธีทำงานจะร่วมกับ ทอท. หาแนวทางเพื่อนำประโยชน์สูงสุดตอบแทนรัฐ และเมื่อใดที่ ทอท. มีมติให้ปรับเปลี่ยนเรื่องใดที่เป็นผลประโยชน์ของรัฐ “คิง เพาเวอร์” แม้จะสูญเสียผลประโยชน์แต่ก็ดำเนินการให้ตลอด โดยทีมกฎหมายได้ดำเนินการฟ้องร้องผู้ที่ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ก่อให้สาธารณชนเข้าใจผิดและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างถึงที่สุดในขั้นตอนของกฎหมาย
ที่มา : http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000039275