“เฟซบุ๊ก” ผุดคำต้องห้าม ชาวเน็ตลองของ-โดนฟ้องเป็นสแปม

พบเฟซบุ๊กกรองคำต้องห้าม เกี่ยวกับการมองประเทศไทยในแง่ลบ ชาวเน็ตจำนวนมากทดสอบถูกตั้งค่าเป็นสแปมกันถ้วนหน้า แถมส่งข้อความหากันไม่ได้อีกด้วย

วันนี้ (1 พ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่คืนวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กจำนวนมากได้รับทราบโดยทั่วกันว่า เมื่อมีการพิมพ์ข้อความประโยคหนึ่ง เกี่ยวกับการมองประเทศไทยในแง่ลบ (ขอสงวนเนื้อหา) แล้วโพสต์ขึ้นไป พบว่าไม่สามารถโพสต์ได้

ผู้สื่อข่าว MGR Online จึงทำการทดสอบโดยการโพสต์ข้อความดังกล่าว พบว่า สามารถโพสต์ขึ้นไปได้ แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที โพสต์ดังกล่าวถูกล็อก โดยเฟซบุ๊กระบุว่า “คุณได้โพสต์สิ่งนี้หรือไม่ ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสแปม หากคุณไม่ได้โพสต์สิ่งนี้เอง เราจะช่วยคุณในการรักษาความปลอดภัยให้กับบัญชีผู้ใช้ของคุณในตอนนี้”

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวกดคำว่า “ไม่ใช่สแปม” พบว่า ระบบของเฟซบุ๊ก “เราได้บล็อกเนื้อหาที่ดูคล้ายสแปมตาม แนวทางปฏิบัติของชุมชน ของเรา โพสต์นี้จะถูกลบโดยอัตโนมัติใน 30 วัน โดยคุณสามารถเลือกที่จะลบได้เลยในตอนนี้” ผู้สื่อข่าวจึงตัดสินใจลบโพสต์ดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังได้รับรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนอื่นๆ เมื่อโพสต์ข้อความดังกล่าวแล้ว กลับถูกระบุว่า ไม่สามารถโพสต์ข้อความดังกล่าวได้ บางรายระบุว่า ไม่สามารถส่งข้อความผ่านทางแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊กแมสเซนเจอร์ได้อีกด้วย โดยได้มีการแจ้งไปยังเฟซบุ๊กเพจที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น Drama-addict

อนึ่ง จากกระแสที่ชาวเน็ตต่างโพสต์ข้อความดังกล่าวไม่ได้ ทำให้ชาวเน็ตบางรายหันมาใช้วิธีโพสต์ข้อความดังกล่าวโดยข้อความที่เป็นสระแอ (แ) แก้เป็นสระเอ (เ) 2 ตัวติดกัน หรือการพิมพ์พยัญชนะและสระภาษาไทย ผสมกับพยัญชนะภาษาอังกฤษ รวมไปถึงการใช้พยัญชนะแปลกๆ ที่เรียกกันว่าภาษาสก๊อย ซึ่งระบบจะไม่ได้ตรวจจับว่าเป็นสแปมอีกด้วย

นอกจากนี้ ในโซเชียลมีเดียคู่แข่งอย่าง ทวิตเตอร์ ข้อความดังกล่าวยังถูกนำไปใช้แฮชแท็ก วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบกรองคำของเฟซบุ๊กอย่างกว้างขวาง ผู้ใช้บางคนแจ้งว่า โพสต์จากประเทศจีน โดยใช้ VPN สหรัฐอเมริกา ระบบก็กรองคำดังกล่าวเช่นกัน จึงคาดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องว่าห้ามพิมพ์ข้อความนี้เฉพาะประเทศไทย

รายงานข่าวแจ้งว่า เฟซบุ๊กได้ปลดล็อกคำดังกล่าวออกจากสแปมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ตั้งแต่ช่วงสายของวันนี้สามารถโพสต์ข้อความดังกล่าวได้ตามปกติ

ที่มา : http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9600000043721