เดือดแน่ ! JD.com เบอร์ 2 อีคอมเมิร์ซจีน รองจากอาลีบาบา เตรียมบุกไทยปลายปีนี้

เจดีดอทคอม เจ้าของอีคอมเมิร์ซอันดับ 2 ของจีน คู่แข่งคนสำคัญของ “อาลีบาบา” ประกาศ เข้าลงทุนในไทยช่วงปลายปีนี้

จากการให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวรอยเตอร์ส ของ ริชาร์ด หลิว (Richard Liu) CEO ผู้ก่อตั้ง JD.com Inc ว่า บริษัทได้วางแผนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซนอกประเทศจีน เพื่อรองรับกับการรุกขยายไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นเวียดนาม และมาเลเซีย

ริชาร์ด หลิว (Richard Liu) ซีอีโอผู้ก่อตั้ง JD.com Inc

โดยบริษัทคาดว่า จะเข้าลงทุนในประเทศไทยอย่างเป็นทางการช่วงก่อนปลายปีนี้ โดยระบุเพียงว่าจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก แต่ไม่ได้ระบุตัวเลข และจะมีพันธมิตรธุรกิจเข้ามาร่วมด้วย

ในการใช้เงินลงทุนในไทย จะน้อยกว่าการลงทุนในอินโดนีเซีย ซึ่งเน้นการสร้างเครือข่ายจัดส่งสินค้า โดยอินโดนีเซียถือเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับ JD.com เมื่อเทียบกับตลาดนอกประเทศจีน

ซีอีโอ JD.com Inc เชื่อมั่นว่า JD.com จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันอย่าง “อาลีบาบา” ที่เป็นเบอร์1 ในจีนได้ในตลาดอาเชียน โดยหยิบยกตัวอย่าง เมื่อครั้งบริษัทเข้าสู่วงการธุรกิจอีคอมเมิร์ซเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งเวลานั้นอาลีบาบานั้น ก็เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่แล้ว แต่ JD.com ก็ยังสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการรายสำคัญในตลาดได้

JD.com  ได้ขยายธุรกิจไปยังสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าครัวเรือน และยังมีธุกิจให้บริการฐานข้อมูล คลาวด์ และบริการปัญญาประดิษฐ์

ผลประกอบการเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าของ JD.com ทำกำไรสุทธิ 355.7 ล้านหยวน มีรายรับรวมเพิ่มขึ้น 41% เป็น 7.62 หมื่นล้านหยวน มีฐานผู้ใช้งานมากกว่า 237 ล้านบัญชี

JD.com ทำกำไรสุทธิ 355.7 ล้านหยวน หรือประมาณ 1.78 พันล้านบาท เมื่อไตรมาสล่าสุด

ในอนาคต JD.com วางแผนสร้างเครือข่ายโดรนชื่อ 180 เพื่อเป็น “สนามบิน” สำหรับส่งสินค้าในเขตเสฉวน ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขา ทำให้การขนส่งสินค้าด้วยรถนั้น มีทุนสูง และใช้เวลานานกว่า ซึ่งการ จัดสร้างศูนย์ปล่อย และจอดโดรนเหล่านี้ ใช้ต้องใช้เงินทุนมากกว่า 600,000 หยวน

การรุกตลาดนอกประเทศจีน เพื่อขยายตลาดในภูมิภาคนี้ ของ JD.com Inc  น่าจะทำให้อีคอมเมิร์ซดุเดือดขึ้นแน่ เพราะก่อหน้านี้ อาลีบาบา เองได้ซื้อกิจการ ลาซาด้า (Lazada) เพื่อบุกขยายตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแล้ว


ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000059110