จากที่ใช้ชื่อรุ่น “ทองคำ” (Gold Series) ในรถกระบะดีแมคซ์รุ่นที่แล้ว เมื่อถึงคราวที่ต้องไมเนอร์เชนจ์ กระบะดีแมคซ์อีกครั้ง อีซูซุยังคงวางตำแหน่งสินค้ามุ่งเน้นเรื่องความหรูหราเพิ่มขึ้นไปอีก และให้เข้ากับยุคสมัยโดยใช้ชื่อรุ่นว่า Platinum
การวางโพสิชั่นเช่นนี้ อีซูซุต้องสร้างจุดขายให้แตกต่างไปจากคู่แข่งในตลาด โดยให้ความสำคัญกับเรื่องของดีไซน์ และรสนิยมของผู้บริโภค เข้าถึง Emotional มากกว่าที่จะเน้นสมรรถนะเหมือนที่เคยเป็นมา
“การยกระดับให้เป็นอีซูซุดีแมคซ์ แพลททินั่ม เพื่อตอบสนองกลุ่มคนทำงานที่ใช้รถกระบะในวันทำงานและการพักผ่อนในวันหยุดอย่างมีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของคนขับกระบะดูดีขึ้นด้วยดีไซน์ และยังแข็งแกร่งด้วยสมรรถนะเหมือนเดิม” โมริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด บอกถึงการเปลี่ยนแปลง
อีซูซุได้เพิ่มคุณสมบัติของเครื่อง เช่น Platinum Vision Camera กล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอดจาก Kenwood พร้อมจอแสดงผลขนาด 6.1 นิ้ว ด้วยระบบสัมผัส ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการรถกระบะเมืองไทย
การส่งเสริมภาพลักษณ์ของคนขับรถกระบะให้ดูเท่ และมีระดับมากขึ้น “อีซูซุ” ยังต้องใช้ภาพของสี่หนุ่มพรีเซ็นเตอร์จากรุ่นที่ผ่านมาเข้าช่วย ซึ่งไม่มีค่ายรถยนต์ใดลงทุนและวาง Positioning รถกระบะแบบนี้มาก่อน
ก๊อต-จักรพัรรณ์ ครบุรีธีรโชติ เจ้าชายลูกทุ่งยังเป็นหัวหอกสำคัญในการเจาะกลุ่มเป้าหมายต่างจังหวัดในรุ่น Space Cab และ Spark เพราะทำยอดขายมากกว่า 50% ของยอดรวม ลงทุนทำหนังโฆษณาและแต่งเพลงประกอบชุดใหม่ที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ฟังเพียง 1-2 ครั้ง ก็สามารถจดจำได้ขึ้นใจ
การวางตำแหน่งสินค้าในลักษณะนี้ นอกจาก อีซูซุไม่จำเป็นต้องเล่นเรื่องราคา แต่ยังเพิ่มราคาแพงกว่ารุ่นเดิมถึง 8,000 – 35,000 บาท แตกต่างกันตามรุ่น ในขณะที่คู่แข่งหลายค่ายเลือกที่จะลดราคา หรือโปรโมชั่นดอกเบี้ยถูกในฤดูกาลขายแบบนี้
แม้ว่าทางอีซูซุ จะไม่ได้เปิดเผยความหวังของยอดขายรุ่น แพลททินั่ม แต่การตกแต่งหน้าตาให้ดูไฮโซขึ้น บวกกับการลงทุนใช้พรีเซ็นเตอร์ทั้ง 4 คนอีกรอบ ส่งผลกระทบให้ค่ายรถยนต์ใหญ่ อย่างโตโยต้าไม่อยู่เฉยลงทุนสร้างโรดโชว์แปลกโดยมีการแสดงพาดโพนจากต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นยอดขายนอกเหนือจากการมีรถกระบะแบบประตูตู้กับข้าวหรือ Smart Open Cab
ยอดขายรถยนต์ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 (by brand)
โตโยต้า 195, 924 คัน 42.48%
อีซูซุ 101, 510 คัน 22.01%
ฮอนด้า 63, 944 คัน 13.86%
นิสสัน 24, 554 คัน 5.32%
มิตซูบิชิ 18, 994 คัน 4.11%