รายงานข่าวจาก วอลล์สตรีทเจอร์นัล เผยว่า เฟซบุ๊ก (Facebook) กำลังเอาจริงกับการหา “คอนเทนต์” มานำเสนอบนแพลตฟอร์ม โดยได้มีการติดต่อกับเอเจนซีในฮอลลีวูด เพื่อให้ช่วยผลิตรายการโชว์ต่าง ๆ แล้วอย่างจริงจัง และในบางเคสก็พบว่า เฟซบุ๊กมีการเสนอเงินถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐต่อ episode เลยทีเดียว
การเพิ่มคอนเทนต์ลิขสิทธิ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะเฟซบุ๊กต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่อายุระหว่าง 13-14 ปี ให้ได้มากขึ้น ซึ่งการติดต่อให้บริษัทอื่นผลิตให้นั้นช่วยประหยัดต้นทุนให้บริษัทได้มากอยู่ โดยแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า คอนเทนต์สำหรับกลุ่ม 17-30 ปีนั้น เฟซบุ๊กเลือกโชว์อย่าง Pretty Little Liars, Scandal หรือ The Bachelor มาฉาย และคาดว่ามีคอนเทนต์อีกนับสิบเรื่องที่รอต่อคิว
การที่เฟซบุ๊กหันมาให้ความสนใจกับคอนเทนต์ประเภทไฮเอนด์นี้ คาดว่าจะช่วยให้เฟซบุ๊กสามารถต่อกรกับคู่แข่งอย่าง สแนปแชต (Snapchat) และทวิตเตอร์ (Twitter) ได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน สแนปแชต มีการนำเสนอคอนเทนต์ออริจินอลจากผู้ผลิตมากมาย ทั้งดิสนีย์, เอ็มทีวี, เอ็มจีเอ็ม, ไทม์วอร์เนอร์ และ เอแอนด์อี โดยโชว์ที่ปรากฏในสแนปแชตนั้น จะยาวประมาณ 3-5 นาที
แม้จะไม่มีความชัดเจนว่าคอนเทนต์ที่จะมาปรากฏในเฟซบุ๊กนั้นจะยาว 3-5 นาที แบบที่สแนปแชตทำหรือไม่ แต่เป็นไปได้ว่า คอนเทนต์ส่วนใหญ่จะแสดงผลที่ความยาวตั้งแต่ 10-30 นาที โดยมีกำหนดการในการฉายนั้น คาดว่าจะได้เห็นรายการเหล่านี้จากเฟซบุ๊กภายในปลายฤดูร้อนปีนี้ด้วย
ขายหุ้น 42.5 ล้านเหรียญ
นอกเหนือจากการบุกตลาดคอนเทนต์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเฟซบุ๊ก ก็คือ มีการขายหุ้นออกมาอีกครั้งมูลค่า 42.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเป็นการขายหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับโปรเจกต์การกุศลที่เขาและภรรยาทำร่วมกัน
ทั้งนี้ การประกาศขายหุ้นดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 21 และ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นเหล่านั้น เป็นหุ้นที่มีพาวเวอร์ในการโหวตถึง 10 เท่านั้น โดยได้ถูกแปลงให้เป็นหุ้นปกติก่อนนำออกขาย ทั้งนี้ เพื่อปกป้องอำนาจในการควบคุมบริษัทของซีอีโอเอาไว้
โดยก่อนหน้านี้ The Chan Zuckerberg Foundation ได้ขายหุ้นเฟซบุ๊ก มูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เดิมเคยเป็นของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ออกไป และ CZI Holdings ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการการกุศลก็ขายหุ้นอีก 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิ และ CZI Holdings ยังเป็นเจ้าของหุ้นกว่า 400 ล้านหุ้นในเฟซบุ๊ก ซึ่งสามารถตีเป็นมูลค่าสูงถึง 62.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา : http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000064790