เบียร์ไทเกอร์เปิดตัวในเมืองไทยมาเกือบครึ่งศตวรรษ ด้วยความมั่นใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาแล้วทั่วโลก แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวหาได้เกิดขึ้นที่เมืองไทยไม่ ทุกวันนี้ยอดขายของไทเกอร์ยังคงห่างชั้นจากสิงห์ซึ่งอยู่ในเซ็กเมนต์สแตนดาร์ดเหมือนกัน แต่ในแง่ของนวัตกรรมการตลาดแล้วไทเกอร์ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น ด้วยหวังผลงอกงามในระยะยาว ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกนาน
Tiger Translate เป็น Brand building platform ของไทเกอร์ ซึ่งในระดับโกลบอลใช้มาเป็นที่ 3 แล้ว ขณะที่ในเมืองไทยจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยปีนี้เพิ่มการประกวดด้านศิลปะ 3 แขนง คือ Street Art, Motion Graphic, Multimedia จากปีที่ผ่านมามีเฉพาะในเรื่องของผับแบนด์ เพื่อฉายภาพของการเป็นเบียร์ของคนอินดี้ให้เด่นชัดและเป็นแนวทางที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็น Music & Art Platform โดยผู้ชนะการประกวดแต่ละสาขาจะได้รับสิทธิ์ในการเวิร์คช็อปกับศิลปินชื่อดังรวมถึงร่วมประกวดในระดับโลกต่อไป
รอนนี่ เตียว ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด บอกว่า แคมเปญนี้ทำให้ Positioning ของเบียร์ไทเกอร์ดูแตกต่างจากคู่แข่งแม้จะอยู่ในเซ็กเมนต์เบียร์สแตนดาร์ดเช่นเดียวกันกับสิงห์ก็ตาม
“ไทเกอร์เป็นเบียร์ที่ใหม่มากในไทย มี Unique Positioning ไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ หรือทำสิ่งใหม่ๆ เพราะมั่นใจในผลิตภัณฑ์”
แม้ไทเกอร์จะไปกวาดรางวัลเหรียญทองมาเท่าไหร่ หรือแม้แต่รางวัลล่าสุดในงาน New Zealand International Beer Awards 2008 จะเอาชนะคู่แข่งกว่า 150 แบรนด์ทั่วโลกก็ตาม แต่สุดท้ายลิ้นคนไทยกับไทเกอร์เบียร์อาจไม่ใช่ของคู่กัน ทำให้ไทเกอร์มีส่วนแบ่งการตลาดประหนึ่งบอนไซ แม้กิจกรรมการตลาดจะเต็มไปด้วยความหวือหวาและไอเดียสุดบรรเจิดอันเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดีตลอดมาก็ตาม
รอนนี่บอกเพิ่มเติมว่า Tiger Translate ที่จะจัดขึ้นระหว่างตุลาคม 2551-กุมภาพันธ์ 2552 เป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอินดี้ ซึ่งเป็น Core Target มีความเป็นตัวของตัวเองสูง หรือ Independent Minded Person อายุ 24-29 ปี และเขายืนยันว่าหากดูจากนิยามนี้แล้วอินดี้ไม่ใช่กลุ่ม Niche เพียงแต่มีคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่น นั่นหมายความว่าไทเกอร์ไม่ได้ต้องการบีบโอกาสทางการขายของตนเองให้แคบหรือจับเฉพาะกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
เขามั่นใจว่างานครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และไม่มีเหตุผลที่จะหยุดจัดกิจกรรมสร้างชื่อแต่สร้างยอดขายเพียงน้อยนิดนี้แต่อย่างใด
แม้ไทเกอร์จะหวังน้อยในเรื่องส่วนแบ่งการตลาด เพราะในเซ็กเมนต์นี้มีสิงห์ผงาดเป็นผู้นำมาอย่างยาวนานด้วยส่วนแบ่งเกิน 90% แต่จากส่วนแบ่งการตลาดปัจจุบัน 5% รอนนี่ เตียวก็คาดหวังว่าจะเพิ่มเป็น 6-7% ภายใน 2 ปีนับจากนี้
“ต้องการให้คะแนนด้านต่างๆ ของแบรนด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง Brand Image, Brand Attribute ซึ่งต้องสร้าง ผ่านทางกิจกรรมต่างๆ เพราะช่วยกระตุ้นหรือส่งเสริม Brand Identity ได้ และเมื่อนั้นยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น”
Did you know?
ไทเกอร์ เป็นเบียร์ลูกพี่ลูกน้องกับไฮเนเก้น เพราะบริษัทแม่ของไฮเนเก้นที่เนเธอร์แลนด์ลงทุนร่วมกับบริษัทสิงคโปร์