ถ้าพูดถึงแบรนด์เบตาดีน เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สำหรับรักษาแผลที่เก่าแก่ในประเทศไทยแบรนด์หนึ่ง เป็นแบรนด์สัญชาติอเมริกา ได้ทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2531 หรือ 29 ปีแล้ว แต่ไม่ได้มีการทำตลาดที่แอคทีฟมากนัก เพราะแต่เดิมทำตลาดผ่านดิสทริบิวเตอร์ LF Asia จนเมื่อปี 2556 ทางบริษัทแม่ บริษัท มุนดิฟาร์มา ได้ปักหลักเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเอง และให้ DKSH เป็นผู้กระจายสินค้าให้ มีการบุกตลาดที่หนักขึ้น พร้อมทั้งทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ เมื่อเดือนกันยายน 2559 ก็เพิ่งเปิดตัวสเปรย์ฉีดแผลไป
สินค้าในพอร์ตของภายใต้ชื่อแบรนด์เบตาดีนมีทั้งหมด 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์รักษาบาดแผลสัดส่วนรายได้ 60% ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผู้หญิงสัดส่วน 15% และยารักษาอาการไอ ไข้หวัด สัดส่วน 25%
ซึ่งถ้าดูภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์รักษาบาดแผลในไทยแล้ว เป็นตลาดที่เล็กมาก 250 ล้านบาทเท่านั้น มีการเติบโตเฉลี่ย 5% และที่สำคัญเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคไม่ได้ใช้ประจำ จะใช้แค่เมื่อจำเป็นตอนเป็นแผลเท่านั้น มีข้อจำกัดในการใช้อยู่ ถึงแม้ว่าเบตาดีนจะกินส่วนแบ่งตลาดไปกว่า 42% แต่ก็มิได้นำพาในเรื่องการเติบโตของรายได้เท่าไหร่
ความท้าทายของเบตาดีนก็คือขยายพอร์ตสินค้าให้กว้างขึ้น ในปีนี้จึงแตกไลน์สินค้าใหม่ “เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์” ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเพื่อสุขภาพระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ ครีมอาบน้ำ โฟมล้างมือ และเจลล้างมือ สินค้านี้ได้ใช้เวลาในการทำวิจัยและศึกษาตลาดราว 1 ปี ก่อนที่จะทำตลาดจริง ใช้จุดแข็งจากความที่เป็นสินค้าเรื่องการรักษาบาดแผล ชูเรื่องการเป็นครีมอาบน้ำกำจัดแบคทีเรีย ครั้งนี้เป็นการสยายปีกสู่กลุ่ม Personal Care เป็นครั้งแรกและเปิดตัวที่ไทยเป็นที่แรกของโลกก่อนที่จะขยายไปประเทศอื่น
โดยที่ตลาดครีมอาบน้ำในปี 2559 มีมูลค่า 5,800 ล้านบาท เติบโต 5% แบ่งเป็นครีมอาบน้ำเพื่อความสวยความงาม 77% หรือ 4,500 ล้านบาท และเป็นกลุ่มครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพผิว 23% หรือ 1,300 ล้านบาท กลุ่มนี้มีการเติบโต 8%
สาเหตุที่เลือกปักหมุดประเทศไทยเป็นที่แรกเพราะเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง เทรนด์เรื่องการดูแลสุขภาพยังเป็นที่นิยม ผู้บริโภคยังต้องการสินค้ากลุ่มนี้ในตลาด และมีผู้เล่นหลักไม่มาก ได้แก่ เดทตอล, โพรเทคส์, Asepso ต่างจากกลุ่มครีมอายน้ำเพื่อความงามจะมีการแข่งขันดุเดือด
รามัน ซิงห์ ประธานกรรมการบริหาร มุนดิฟาร์มา กล่าวว่า “หลังจากได้ศึกษาตลาดก็เห็นโอกาสในประเทศไทย ตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพมีการเติบโตสูง และกลุ่มสินค้าเดิมอย่างกลุ่มรักษาบาดแผลใช้ได้แค่ตอนมีแผล ซึ่งตลาด Personal Care ใหญ่กว่าสามารถใช้ได้ทุกวัน เพิ่มโอกาสการขายมากกว่า”
ใช้งบการตลาดรวม 100 ล้านบาท ได้ “ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี” และครอบครัวเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะมีไลฟ์สไตล์เหมาะกับสินค้า และเพื่อต้องการสื่อสารกับกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มครอบครัว
ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด 10% ในปีนี้ และตั้งเป้าขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดภายใน 3-5 ปี หรือมีส่วนแบ่งตลาด 35%