เปิดแนวคิด “เจฟฟ์ เบโซส” มหาเศรษฐี (เกือบ) อันดับ 1 ของโลก อยากรวยต้องทำยังไง ?

ภาพจาก : https://hypebeast.com/

เมื่อสัปดาห์ก่อนชื่อของ “เจฟฟ์ เบโซส” ถูกกล่าวถึงตามหน้าสื่อต่างๆ มากมาย เมื่อเขาได้กลายมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยตัวเลข 90,900 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้สุดท้ายเขาจะครองตำแหน่งอยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็ตาม

จากข้อมูลของ Bloomberg Billionaires Index ซีอีโอคนดังแห่ง Amazon เจฟฟ์ เบโซส มีทรัพย์สินทะลุไปถึง 90,900 ล้านเหรียญสหรัฐ จนสามารถแซงหน้า บิล เกตส์ ขึ้นมาเป็นคนรวยอันดับ 1 ของโลกได้สำเร็จ แต่สุดท้ายเขาก็เสียตำแหน่งไปในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมื่อหุ้นของ Amazon ราคาตกลงมาเรื่อยๆ จนมูลค่าทรัพย์สินของ เบโซส ลดลง และเสียแชมป์กลับไปให้ บิล เกตส์ ในที่สุด

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สปอร์ตไลต์ที่ฉายไปถึง “เบโซส” ลดน้อยลงไปแต่อย่างใด เขา และ Amazon ยังคงเป็นที่จับตามมอง และคาดหมายกันว่า เบโซ อาจจะเป็นมนุษย์คนแรกที่มีทรัพย์สินรวมทะลุไปถึง หนึ่งล้านล้านเหรียญสหรัฐ” จนมีคนบอกว่าถึงตอนนี้ เบโซส ยังจะไม่ใช่ “คนที่รวยที่สุดในโลก” แต่เขาจะได้เป็นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน

เส้นทางความรวย “เจฟฟ์ เบโซส”

เบโซส เริ่มติดอันดับคนรวย ที่สุดในโลกของ Forbes เมื่อปี 1998 หรือเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยทรัพย์สินตอนนั้น 1,600 ล้านเหรียญฯ จนเพิ่มขึ้นมาเป็น 4,400 ล้านเหรียญฯ ในปี 2007 ก่อนจะกระโดดขึ้นไปสู่หลัก 18,400 ล้านเหรียญฯ ในปี 2012 เป็นคนรวยอันดับ 26 ของโลก และพุ่งกระฉูดขึ้นมาติดระดับ TOP ด้วยตัวเลขระดับ 90,000 ล้านเหรียญฯ ในปีนี้

ภาพจาก : www.cnbc.com

จากกิจการ “ขายหนังสือออนไลน์” เบโซส ค่อยๆ สร้างให้ Amazon กลายเป็นเว็บไซต์ที่ขายของตั้งแต่ “สากกะเบือยันเรือรบ” เป็นเจ้าของกิจการต่างๆ มากมายหลายแขนง และเริ่มผลิตคอนเทนต์เป็นของตัวเอง

จนว่ากันว่าถ้าเขาต้องการ เบโซส สามารถซื้อกิจการอย่าง Taco Bell, KFC และ Pizza Hut เอามาครองไว้คนเดียว และยังมีเงินเหลือพอที่จะซื้อทีมกีฬาอันดับ 1 – 3 ของโลก อย่าง New York Yankees, the Dallas Cowboys และ Real Madrid มาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย ทรัพย์สินของเขาสูงชนิดที่ว่าเท่าๆ กับ GDP ของประเทศ ไลบีเรีย, ฮอนดูรัส และเซอร์เบีย รวมกันเลยทีเดียว

ปัจจุบันวิสัยทัศน์ของ “เบโซส” ถูกจับตามองในระดับเดียวกับคนอย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก, อีลอน มัส หรือ บิล เกตส์ เมื่อเขาตัดสินใจ “ซื้อ” หรือ “เริ่ม” กิจการประเภทใด โลกธุรกิจก็จะสั่นสะเทือนทันที เพราะที่แล้วมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการตัดสินใจของ เบโซส เคย เปลี่ยนโลก มาแล้ว

เริ่มต้นจาก “หนังสือ” สินค้าที่ตัดสินใจซื้อได้โดย “ไม่ต้องจับต้อง”

ในปี 1994 ที่เป็นยุคเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต” เบโซส ก็คือคนหนึ่งที่ตัดสินใจลงมาเล่นในธุรกิจ “อีคอมเมิร์ซ” คนแรกๆ ของโลก ว่ากันว่าตอนนั้นเขาลิสต์รายชื่อสินค้าที่น่าจะมีศักยภาพในการขายผ่านเว็บไซต์มาประมาณ 20 ประเภท และสุดท้าย เบโซส ก็เลือกที่จะเริ่มต้น Amazon.com ด้วยการขายหนังสือ

เหตุผลที่ เบโซส เลือกขายหนังสือ ก็เพราะหนังสือเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที โดยไม่ต้อง “จับ และรู้สึก” เพราะคุณค่าที่สำคัญที่สุดของหนังสือคือ “เนื้อหา” ที่อยู่ข้างใน แตกต่างจากเสื้อผ้า, อาหาร และสินค้าอื่นๆ ที่ผู้คนในตอนนั้นคงจะไม่ “สบายใจ” ถ้าไม่ได้ “เห็นของจริง” ก่อนจะจ่ายเงิน

ตอนนั้น เบโซส เคยคิดที่จะขายแผ่น CD และ DVD พร้อมกันไปด้วย แต่เพราะตอนนั้นระบบจัดจำหน่ายของสินค้าประเภทนี้ค่อนข้างจะยุ่งยาก มีผู้จัดจำหน่ายจำนวนมาก ขณะที่ตอนนั้นผู้จัดจำหน่ายสินค้าอย่างหนังสือในสหรัฐฯ มีเจ้าใหญ่ๆ อยู่แค่ 2 เจ้าเท่านั้น เขาจึงหันไปเน้นที่การขายหนังสืออย่างเต็มตัว

ไม่ใช่เรื่องของ “โชค” แต่คือความ “เชื่อมั่น

เบโซส ที่เติบโตมาจากสาย IT ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสายตา แหลมคม ในการเลือกลงทุนธุรกิจ IT ที่มีอนาคตมาตั้งแต่ระยะเริ่มตั้งไข่ เขาคือผู้ลงทุนคนแรกๆ ของ Google ด้วยเงิน 250,000 เหรียญฯ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนแบ่งแค่ 0.04% ของ Google แต่สุดท้ายก็ทำเงินให้กับ เบโซส มากถึง 280 ล้านเหรียญฯ จากการลงทุนครั้งนั้นเลยทีเดียว

ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เบโซส คือผู้เห็นแวว และร่วมลงทุนในดาวเด่นของธุรกิจ IT อย่าง Business Insider, Stack Overflow, Rethink Robotics, Twitter, Juno Therapeutics, Twilio, Zappos, MakerBot, Twitch TV, Audible, Songza, IMDB, Living Social มาตั้งแต่ต้น จนทำกำไรให้กับเขาไปไม่น้อย

ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสายตาอันแหลมคมของ เบโซส นอกจากนั้นเขายังเชื่อมั่นที่จะถือหุ้นในธุรกิจเหล่านี้ในระยะเวลาที่นานพอ จนสามารถทำกำไรในท้ายที่สุดด้วย

ต่อยอดธุรกิจสายใหม่ ด้วยฐานข้อมูลที่มีอยู่

ล่าสุด เจฟ เบโซส สร้างความฮือฮาด้วยการซื้อกิจการของ Whole Foods Market ฟู้ดรีเทลยักษ์ใหญ่ที่จำหน่ายสินค้าออแกนิค ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และอาหารสดรายใหญ่ของสหรัฐฯ จนถือว่าเป็นการบุกตลาดสินค้า “ออฟไลน์” อย่างเต็มตัวของ Amazon

แน่นอนว่าธุรกิจคว้าปลีกดูจะห่างไกลจากความถนัดของ Amazon แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าถ้าทำสำเร็จ เบโซส และ Amazon อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกครั้ง

การค้าปลีกเป็นธุรกิจที่ว่ากันว่าเสี่ยง และไม่ค่อยแน่นอน เป็นธุรกิจที่อาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่างการเปลี่ยนเทรนด์ หรือปัจจัยเรื่องสภาพอากาศอยู่เสมอ ค้าปลีกยังเป็นงานที่เปลี่ยนแปลงระบบน้อยมาก กว่าวงการนี้จะเริ่มมีระบบการบันทึกข้อมูลการซื้อขายต่างๆ เพื่อจัดการบริหารสินค้าคงคลังให้มีระบบก็ต้องปาเข้าไปถึงยุค 70s แล้ว

ซึ่ง Amazon น่าจะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพตรงนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะ  Amazon ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของข้อมูลซื้อขายขนาดมหาศาล มีการบันทึกการทำธุรกิจ, ผู้ซื้อ, การลงทุน และข้อมูลจำนวนมากเอาไว้หลายปี ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อใช้สอยในการบริหาร Whole Foods Market ได้ทันที จนหลายฝ่ายเชื่อว่าอาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นกับวงการค้าปลีกเมื่อ Amazon เข้ามาจับธุรกิจสายนี้อย่างเต็มตัว

สร้างกลยุทธ์จาก “ความไม่เปลี่ยนแปลง”

ปัจจุบัน เบโซส ลงทุนในธุรกิจหลายแขนง แต่สิ่งที่ทั้งเขา และยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจ IT ต่างมุ่งความสนใจไปมากที่สุดก็คือธุรกิจด้าน AI ที่เขาบอกว่าจะเป็นการเปิดไปสู่ ยุคทองของสังคม และธุรกิจ และยังมองว่า AI ยังมีศักยภาพอีกมากมาย

ในช่วงลดราคาสินค้ากลางปีของ Amazon ที่เรียกว่า Amazon Prime Day ลำโพงรุ่นเล็กรองรับการสั่งงานด้วยเสียง Echo Dot ก็เพิ่งทำสถิติเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ซึ่ง เบโซส ก็เชื่อว่าด้วยข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ทาง Amazon เก็บมานานหลายปี น่าจะทำให้บริษัทสามารถพัฒนาสินค้า AI ได้ไม่แพ้ใคร และเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปโดยสิ้นเชิงอย่างที่เขาบอกกับผู้ถือหุ้นว่า ตอนนี้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตด้วย AI แบบเดียวกับที่ปรากฎในนิยายวิทยาศาสตร์

และเช่นเดียวกับนักธุรกิจด้าน IT และเทคโนโลยีอีกหลายคน เบโซส ยังมีความทะเยอทะยานเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศ ถึงกับขายหุ้นปีละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ของ Amazon เพื่อไปลงทุนใน Blue Origin บริษัทด้านอวกาศที่มีแผนการจะพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยว ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้เดินทางไปสู่นอกโลก

แน่นอนว่าธุรกิจเหล่านี้เป็นเรื่อง “หวือหวา” น่าสนใจ และเป็นเรื่องของอนาคตที่อยู่ห่างออกไปอยู่พอสมควร แต่สุดท้ายแล้วตัวของ เบโซส ก็ยืนยันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการ ตัดสินใจ ในการลงทุนก็คือ “ปัจจุบัน”นั่นเอง

เขากล่าวกับ Forbes ว่าตนเองมักจะได้ยินคำถามที่ว่า “ในอีก 10 ปี ข้างหน้า อะไรจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?” อยู่บ่อยครั้ง ซึ่ง เบโซส บอกว่าสุดท้ายแล้วคำถามที่สำคัญยิ่งกว่า แต่กลับไม่เคยมีใครถามเขาเลยก็คือ “ในอีก 10 ปีข้างหน้า อะไรบ้างที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย?” ซึ่งซีอีโอของ Amazon บอกว่า “คำถามข้อหลังคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะเราสามารถสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจได้จากความมั่นคง และมีเสถียรภาพในปัจจุบัน”


ที่มา