ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ Non-oil ต่อเนื่อง สำหรับ พีทีจี เอ็นเนอยี ยิ่งมาทีหลัง 2 คู่แข่งรายใหญ่อย่าง ปตท.และบางจากด้วยแล้ว พีทีจีจึงต้องใส่เกียร์เร่งเครื่องเต็มที่ทั้งธุรกิจและกำลังคน
พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG บอกว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าในการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน หรือ Non-oil อย่างต่อเนื่องเพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว
ธุรกิจ Non-oil ที่วางแผนไว้ จะไม่ได้อยู่เฉพาะในสถานีบริการน้ำมันเพียงเท่านั้น แต่ยังขยายไปยังนอกสถานีบริการอีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ พีทีจี จึงควักเงิน 205 ล้านบาท ไปซื้อกิจการ จี เอฟ เอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์ร้านกาแฟ Coffee World, Cream & Fudge, New York 5th Av. Deli, Coffee World Restaurant ร้านอาหาร Thai Chef Express เพื่อเป็น “ทางลัด” ขยายการลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟและร้านอาหาร
ล่าสุดยังไปร่วมทุนกับบริษัท ออโต้แบคส์ เซเว่น จำกัด ทำธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน Tokyo Stock Exchange ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท สยาม ออโต้แบคส์ จำกัด โดยซื้อหุ้นของบริษัทสยาม ออโต้แบคส์ จำกัด สัดส่วน 38.26% มูลค่า 65 ล้านบาท
พีทีจี คาดหวังว่า เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในภาพรวมของบริษัทฯให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ Non-oil ให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยวางไว้ว่า ธุรกิจ Non-oil จะสร้างกำไร 60% ภายในปี 2565
พีทีจี ยังมีธุรกิจนอน–ออยล์ (หลายประเภท ทั้งร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ แม็กซ์ มาร์ท (Max Mart) โครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องพีที แม็กซ์นิตรอน (PT Maxnitron) รวมถึงร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ที่พีทีจีสร้างขึ้นเอง วางเป้าขยายไปให้ถึง 400 สาขาภายในปี 2561
การจะขยายสาขาให้ได้มากขนาดนี้ เรื่อง “คน” เป็นปัจจัยสำคัญ พีพีจี จึงไปร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ให้มาช่วยเรื่องพัฒนาบุคลากร ให้กับร้านกาแฟพันธุ์ไทย ออกแบบหลักสูตรอบรม เน้นทักษะการบริการให้กับพนักงาน เช่น การบริหารจัดการ ทัศนคติการบริการ และพฤติกรรมการบริการที่ดี พัฒนาการปฏิบัติงานของบุคลากรในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับผู้จัดการ
มีทั้งหลักสูตรระยะสั้น และระยะยาว จนถึงจบปริญญาตรี โดยที่กาแฟพันธุ์ไทย จะเปิดรับนักศึกษาไปฝึกงาน เพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน และมีโอกาสได้รับการบรรจุเป็นพนักงานในอนาคตอีกด้วย นับเป็นการร่วมมือแบบ “วิน วิน” ทั้งคู่
ส่วนธุรกิจน้ำมัน ต้องเพิ่มจำนวนสถานีบริการในปีนี้ให้ได้ 1,800 สถานี ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากที่มีอยู่ 1,506 สาขาทั่วประเทศ ส่วนในปี 2561 บริษัทฯ ขยายสถานีบริการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเพื่อให้บริการครอบคลุมกว่า 70% ของพื้นที่ และเพิ่มฐานลูกค้าผ่านโปรแกรมบัตรสมาชิก PT Max Card ที่วางเป้าหมายไว้ที่ 7.6 ล้านสมาชิก ณ สิ้นปี 2560
“เรามีแผนระยะยาว การขยายธุรกิจ Non-oil ทั้งในและนอกสถานีบริการ ซึ่งในอนาคตธุรกิจ Non-oil จะมีบทบาทสำคัญต่อการทำกำไร ในขณะที่ธุรกิจน้ำมันในปีนี้เราประเมินว่าสถานการณ์ของค่าการตลาดได้ผ่านจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้ว และจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น”
ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 182 ล้านบาท และมีรายได้รวม 21,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 561 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 20,896 ล้านบาท
ที่มา : mgronline.com/business/detail/9600000090886