ยุคนี้ต้องมาเป็น “ซีรีส์” ถึงจะเอาอยู่ ! มาร์เวล จับมือ เมเจอร์ ปล่อยหนัง 4 เรื่อง จับแฟนพันธ์ุแท้ให้อยู่หมัด

“มาร์เวล” (Marvel) ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ค่ายการ์ตูนคอมมิคส์ลำดับต้นๆ เพราะอยู่ในวงการมาถึง 78 ปี มีธุรกิจครอบคลุมทั้งซีรีส์ เกม ส่วนสนุก ตลอดจนผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก

ส่วนธุรกิจภาพยนตร์นั้น มาร์เวล มีอายุเพียงแค่ 10 ปี ผลิตภาพยนตร์มาแล้ว 17 เรื่อง โดยมีเหล่า “ซูปอร์ฮีโร่” เป็นตัวชูโรง ที่รู้จักกันดีคือ IRON MAN สร้างปรากฏการณ์ดังพลุแตกมาแล้ว ทำให้มาร์เวลสามารถทำรายได้ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 4 แสนล้านบาท

สเต็ปต่อไปของมาร์เวลจึงต้องเข้มข้นขึ้น จากปกติมาร์เวลจะปล่อยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ปีละ 1-2 เรื่องเท่านั้น ทว่าปีนี้มาร์เวลให้เป็นปีแห่งมาร์เวล หรือ “Year of Marvel” ด้วยการปล่อยหนังฟอร์มยักษ์ 4 เรื่อง ครอบคลุม ยิงยาวตั้งแต่ปี 2560-2561 ได้แก่  THOR: RAGNAROK ฉายเดือน พ.ย.นี้ ตามด้วย Black Panther ฉาย ก.พ. 61 Avengers: Infinity War ฉาย เม.ย. 61 และ Ant-Man and the Wasp ฉาย ก.ค. 61

พร้อมกับนำมาต่อยอดทำตลาด ด้วยการจับมือกับ โรงภาพยนตร์ “เมเจอร์”  ร่วมกันปล่อยแคมเปญการตลาด Year of Marvel at Major Cineplex ถือเป็น Strategic collaboration  โดยนำจุดแข็ง 2 ฝั่งมาผสานกัน

มาร์เวล นั้น ต้องการสร้างความผูกพัน (Engagement) กับผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากพบว่า แฟนหนังมาร์เวลขยายวงกว้างขึ้นมาก จากกลุ่มผู้ชายขยายมาเป็นกลุ่มผู้หญิง และ 60% ยังเป็นกลุ่ม (Young Adult) หรือวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน

ตลาดไทยถือเป็นตลาดสำคัญ เพราะมีทั้งคนรักหนังซูเปอร์ฮีโร่ และคนรักหนังมาร์เวลรวมตัวกันทำกิจกรรม จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ออนไลน์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์พูดคุยกัน

“เป็นเหตุผลหลักในการทำแคมเปญในครั้งนี้ โดยก่อนหน้านี้ทางดีสนีย์ ประเทศไทย ก็มีการเข้าไปสนับสนุนคอมมูนิตี้เหล่านั้นอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้เข้าใจกลุ่มแฟนๆ มาร์เวล มากขึ้น นำมาสู่การทำแคมเปญอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ สุภอร รัตนมงคลมาศ” กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ประจำประเทศไทย บริษัท เดอะ วอลท์ ดีสนีย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ส่วนทางด้านเมเจอร์ ถือเป็นการจัดกิจกรรมการตลาดแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ให้กับกลุ่มลูกค้าเมมเบอร์ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเพิ่มเอนเกจเมนต์ (Engagement) กับลูกค้าให้มากขึ้น และสร้างประสบการณ์ Movie Experience ให้กับลูกค้า และยังเป็นการร่วมกันขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบหนังของมาร์เวลให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย  โดยเฉพาะสมาชิกบัตร M Generation ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 4 ล้านคน ซึ่งมีทั้งลูกค้าทั่วไป, กลุ่มนักเรียน นักศึกษา, กลุ่มผู้สูงอายุ (Freedom) และกลุ่มเด็ก

โดยสมาชิกบัตร M Gen จะได้รับสิทธิ์ ซื้อ ‘การ์ดสะสม Year of Marvel M GEN’ ลายจากภาพยนตร์ดังของมาร์เวล 4 เรื่อง ซึ่งเมเจอร์ได้รับลิขสิทธิ์จากเดอะ วอลท์ ดีสนีย์ (ประเทศไทย) นำมาผลิตการ์ดสะสมลายภาพยนตร์เป็นซีรีส์ เรื่องละ 20,000 ใบ ในราคาพิเศษ รวมทั้งใช้คะแนนสะสมซื้อตุ๊กตาลิขสิทธิ์จากมาร์เวล ธอร์และฮัลค์ สมาชิกที่ชมทั้ง 4 เรื่อง ยังสามารถลุ้นชิงแพ็คเกจไปเที่ยวฮ่องกง ดีสนีย์แลนด์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ดีสนีย์ยังไปจับมือกับ “เอเชียบุ๊คส์” พันธมิตรระดับภูมิภาค iflix และพันธมิตรระดับโลกอย่าง Hasbro ให้สมาชิกบัตร M GEN เมื่อไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการเหล่านั้นจะได้รับ “ส่วนลดเพิ่ม” จากปกติด้วย ในช่วง 9 เดือนที่จัดแคมเปญ

“วิชัย กุลวัชชัย” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป บอกว่า ตัวเลขผู้ชมหนังในโรงภาพยนต์เมเจอร์ แต่ละปีมีเป็นล้านคน เพราะจากฐานบัตร M GEN มีกว่า 4 ล้านคน แต่สถิติของ “แฟนพันธุ์แท้” ที่ชมหนังของมาร์เวลทุกเรื่องจะมีประมาณ 2 แสนคน กิจกรรมครั้งนี้จะช่วยเพิ่มฐานสมาชิกเพิ่ม 20% โดยหนัง 4 เรื่องนี้ คาดว่าจะทำรายได้รวมกว่า 1,000 ล้านบาท

นับเป็นการทำตลาดครบวงจร เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM) นอกจากจะทำให้เราขยายฐานลูกค้า และยังได้ข้อมูลพื้นฐาน (Database) ที่แบรนด์สามารถนำไปใช้ตอบสนองความต้องการของสมาชิก ในเรื่องสิทธิประโยชน์ ได้เรียนรู้ Insight “พฤติกรรมผู้บริโภค” ลึกและลึกยิ่งขึ้น

โดยข้อมูลที่เมเจอร์จะได้รับจากฐานสมาชิก M Gen นั้นทำให้รู้ตั้งแต่ ลูกค้าเป็นใคร (Who) ต้องการดูหนังเรื่องอะไรแบบไหน (What) ต้องการดูหนังเมื่อใด (When) ดูหนังที่เมเจอร์สาขาไหน (Where) ใครมีอิทธิพลทำให้ดู (Whom) และทำไมถึงดูเรื่องนี้ ทำไมดูที่เมเจอร์ (Why) และพฤติกรรมดูหนังอย่างไร (How)

ทั้งหมดนี้ คือฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการวางกลยุทธ์ปล่อยหมัดน็อคกลุ่มเป้าหมายให้อยู่หมัดยิ่งขึ้น

กลยุทธ์ win win ของเมเจอร์ ที่จะรู้ใจลูกค้า ส่วน “มาร์เวล” ได้ขยายฐานและสร้างความผูกพันกับแฟนพันธุ์แท้ เพื่อไปสู่ผลลัพธ์สุดท้าย รับยุคที่แบรนด์ต้อง “รบกับความต้องการของผู้บริโภค” อย่างแท้จริง.