เป๊ปซี่โค ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หันจับมือ “ซันโทรี่” ตั้ง บ.ร่วมทุนลุยธุรกิจเครื่องดื่มในไทย

จากซ้ายไปขวา : นายทากายูกิ ซานโน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและพัฒนาธุรกิจบริษัท ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย จำกัด; นายเชคก้า มันด์เลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย จำกัด; นายปริญญา กิจจาธนพันธ์ รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอินโดจีนเป๊ปซี่โค อิงค์; นายโอเมอร์ มาลิค กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มประเทศไทย เป๊ปซี่โค อิงค์

นับเป็นการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญของ “เป๊ปซี่” อีกครั้ง หลังจากดึงเอาการผลิตและทำตลาดจากเสริมสุขมาทำเอง ครั้งนี้เป๊ปซี่ เลิกลุยเดี่ยว หันมาจับมือตั้งบริษัทร่วมทุน ”ซันโทรี่” บิ๊กเครื่องดื่มจากญี่ปุ่น ลุยธุรกิจเครืองดื่มทั้ง ผลิต-จำหน่าย-ทำตลาด ร่วมกัน

“เป๊ปซี่โค อิงค์” ประกาศปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทย ด้วยการลงนามในสัญญาความร่วมมือกับ บริษัท ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด จำกัด ผู้นำระดับโลกในธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์จากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อมุ่งดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์แบบครบวงจรในประเทศไทยร่วมกัน

จับมือลุยธุรกิจเครื่องดื่ม 

การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ มองว่า จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเครื่องดื่มของเป๊ปซี่โคในไทย ทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตให้กับทั้งสองบริษัทในอนาคต โดยปัจจุบันทั้งคู่จะใช้ “จุดแข็ง” ที่มีอยู่ร่วมกัน ในการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายพอร์ตโฟลิโอเครื่องดื่มให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมถึงเครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ และเครื่องดื่มต่างๆ ในเครือซันโทรี่ด้วย

ตั้งบริษัทร่วมทุน ซันโทรี่ถือ 51% เป๊ปซี่ 49%

ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเฟรชเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเป๊ปซี่โคที่ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มในประเทศไทยในปัจจุบัน จะเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคเบเวอร์เรจ (ประเทศไทย) จำกัด” โดยซันโทรี่จะถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51 ในขณะที่เป๊ปซี่โคจะถือหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 49 และคณะผู้บริหารของทั้งซันโทรี่และเป๊ปซี่โคจะดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มให้กับทั้งสองบริษัท

เคยร่วมมือกันมาแล้วในหลายประเทศ

ที่ผ่านมาซันโทรี่และเป๊ปซี่โคถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจมาอย่างยาวนานและประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจร่วมกันมาแล้วในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ รวมถึงเวียดนาม

ไทย 1 ในประเทศยุทธศาสตร์ของซันโทรี่

เชคก้า มันด์เลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด เอเชีย จำกัด กล่าวว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคหลักที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์สำหรับซันโทรี่ ที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของสังคมเมือง ประกอบกับประชากรที่มีอายุน้อยเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ

เมืองไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในภูมิภาค เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและมีการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง โดยที่ผ่านมาเป๊ปซี่โคได้วางรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีระบบการผลิตและการกระจายสินค้า และมีพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่หลากหลายภายใต้แบรนด์ชั้นนำ รวมทั้งบุคลากรที่มีคุณภาพ

ซันโทรี่ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอร์เรจ (ประเทศไทย) จำกัด จะร่วมสร้างการเติบโตให้เกิดขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอพอร์ตโฟลิโอเครื่องดื่มที่หลากหลายในอนาคต

ที่ผ่านมา ซันโทรี่ ให้น้ำหนักกับการขยายธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก โดยได้เปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตัดสินใจขยายการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทยครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว โดยซันโทรี่ยังเป็นเจ้าของแบรนด์ซุปไก่สกัดและรังนกแท้ BRAND’S® ในประเทศไทย (ซื้อหุ้นและเปลี่ยนชื่อองค์กรในช่วงต้นปี) และยังมีพอร์ตโฟลิโอของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ Lucozade® เครื่องดื่มน้ำผลไม้ Ribena® เครื่องดื่มอัดลมรสมะนาวผสมวิตามินซี CC Lemon® ชาพร้อมดื่ม TeaPlus® เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงค์ GoodMood® และกาแฟกระป๋อง MYCAFE®

เป๊ปซี่ ได้เวลาต้องปรับ

อเดล การาซ ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของเป๊ปซี่โค กล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่สำคัญของเป๊ปซี่โคในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป๊ปซี่ได้ดำเนินธุรกิจมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 การปรับโครงสร้างธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว จึงได้ปรับตัวและมองหาโมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในแต่ละตลาด ซึ่งเรามั่นใจว่าการร่วมทุนกับซันโทรี่ในครั้งนี้จะนำมาซึ่งความร่วมมือที่แข็งแกร่ง และช่วยสร้างรากฐานให้ธุรกิจเครื่องดื่มของเป๊ปซี่โคในประเทศไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2555 – 2559) เป๊ปซี่โคได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยด้วยมูลค่ากว่าหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งในธุรกิจอาหารและธุรกิจเครื่องดื่มซึ่งรวมไปถึงการเปิดโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งแรกที่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ในปี พ.ศ. 2555 และโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งที่สอง ที่นิคมอุตสาหกรรมหนองแค จังหวัดสระบุรี ในปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2559) เพื่อต้องการความได้เปรียบในการรุกตลาดเครื่องดื่ม ทั้งยังเป็นการรองรับการขยายพอร์ตโฟลิโอในระยะยาว

โอนธุรกิจเสร็จครึ่งปี 61

โดยขณะนี้เป๊ปซี่โคและซันโทรี่อยู่ระหว่างการดำเนินตามขั้นตอนต่างๆ ทางกฎหมายเพื่อถ่ายโอนการดำเนินธุรกิจไปสู่บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอร์เรจ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า (พ.ศ. 2561) ซึ่งภายหลังการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เป๊ปซี่โคจะยังคงดูแลรับผิดชอบกิจกรรมด้านการตลาดของแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดื่มน้ำอัดลม “เป๊ปซี่” “มิรินด้า” “เซเว่น-อัพ” ชาพร้อมดื่ม “ลิปตัน” เครื่องดื่มเกลือแร่ “เกเตอเรด” และน้ำดื่ม “อควาฟิน่า” รวมไปถึงการพัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่ๆ ของแบรนด์เครื่องดื่มในเครือเป๊ปซี่โคในอนาคต

เป๊ปซี่คงธุรกิจอาหาร-ขนม

ในส่วนของธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว เป๊ปซี่โคยังคงดำเนินธุรกิจดังกล่าวในเมืองไทยด้วยตัวเองเหมือนเช่นเดิมโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับซันโทรี่แต่อย่างใด โดยปัจจุบันเป๊ปซี่โคเป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวมูลค่า 34,000 ล้านบาท ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ มันฝรั่งทอดกรอบ “เลย์” ขนมขึ้นรูป “ตะวัน” และ “ซันไบทส์” และยังคงมุ่งมั่นสานต่อการลงทุนในด้านต่างๆ ทั้งการส่งเสริมการเกษตร การพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลอดจนด้านการกระจายสินค้า เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทยต่อไป.