“วู้ดดี้” ลดความแซ่บ ! คัมแบ็กจอทีวี เงินไม่เท่าออนไลน์ แต่ได้คนดูแมส

พักงานหน้าจอไปลุยโซเชียลนานพอดู หลังเคยประกาศจะไม่ทำรายการทีวีอีก เพื่อลุยทำรายการเสนอผ่านโซเชียล แต่พอกลับมาอีกทีก็ควบ 2 รายการเลยทีเดียว สำหรับ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” โดยเป็นพิธีกรให้รายการ “เดอะวอร์ กำแพงพลิกชีวิต” ทาง “ช่องวัน” และทำรายการของตัวเอง “วู้ดดี้เวิลด์” กับช่อง “เวิร์คพอยท์” ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าการได้ร่วมงานกับ “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” เป็นเพราะความคัน

รายการเดอะวอร์ ทางช่องวัน เป็นรายการเกมโชว์ ที่ซื้อแพลตฟอร์มาจากต่างประเทศ ออกอากาศเวลา 6 โมงเย็น วันเสาร์และอาทิตย์ เริมวันที่ 6 มกราคม เป็นวันแรก

สตูดิโอทำยากมาก ในเอเชียไม่มีสตูดิโอที่สูงพอที่จะรองรับกำแพงที่ใหญ่ขนาดนี้ มีสตูฯ ของทีวีธันเดอร์ที่เดียว พอไปเห็นกำแพงมันอลังการมาก แล้วก็คนเข้าแข่งขันที่เป็นคนดีแล้วก็คุณค่ากับเงินหลายล้านบาท ก็เลยตัดสินใจมาร่วมงาน เราแล้วความสนุกก็คือเราจะอยู่ฝั่งเดียวกับคนเข้าแข่งขัน ก็จะลุ้นอยู่ตลอดเวลา

ที่สำคัญ ด้วยความเป็นคอนเทนต์ที่สามารถออนแอร์ได้ทุกแพลตฟอร์ม ออนทั้งโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กไลฟ์ จึงทำให้ตัดสินใจกลับมาทำรายการนี้ เพราะถ้าออนแค่ทีวีก็จะไม่ทำ

ภาพจาก : facebook.com/WOODYTALKSHOW

“รายการนี้ ผมรับจ้าง ได้ค่าตัวเป็นพิธีกรอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นของช่องวัน เป็นลิขสิทธิ์ของช่องวัน ที่ทำเพราะความคันอยากรู้ว่าเป็นลูกน้องเขาแล้วโดนด่ามันเป็นยังไง เพราะเราทำมาตลอดชีวิตแล้วที่สั่งคน เรามาเป็นคนที่ถูกสั่งบ้างดีกว่า”

สิ่งที่ได้รับกลับมานอกจากความสนุกแล้ว ยังได้ประสบการณ์จากรับจ้างเป็น “พิธีกร” ที่ต้องทำงานกับคนภายนอก นำมาปรับปรุงในการทำงาน

พอทำแล้วสนุกมาก แล้วเขาให้เกียรติเรามาก แล้วบางอย่างที่พูดมันไม่โอเคนะ อยากได้วู้ดดี้ที่มันธรรมชาติกว่านี้ เวลามีคนมาพูดกับเราตรงๆ เรารู้สึกดีขึ้นมาก ได้พัฒนา ดีกว่าทำรายการเป็นนายเองแล้วก็ไม่ฟังฟีดแบ็ก บางทีลูกน้องผมเองก็ไม่บอกไง เวลาผมพูดเนี่ยตาจะกะพริบบ่อยมากนี่คือหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้ตัวนะ ตั้งแต่เด็กเราจะชอบเกาจมูก เป็นสองบุคลิกที่เราไม่คิดว่าเราทำบ่อย แล้วเขาก็แนะนำ อีกเรื่องคือเราพูดเร็วมากจนเสียงแหบ ผมพูดเร็วมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ได้ค้นพบตัวเองจากรายการเดอะวอร์”

ภาพจาก : facebook.com/WOODYTALKSHOW

วู้ดดี้เวิลด์ ไม่ใช่ทอล์กโชว์ เป็นแชริ่งโชว์

สำหรับรายการ “วู้ดดี้เวิลด์” เป็นรายการทอล์กโชว์ที่เหมือนหนัง มีความประณีต หมดเวลานั่งสัมภาษณ์ตามข่าวรายวัน ซึ่งวู้ดดี้เป็นผู้ผลิตรายการเอง โดยร่วมมือกับเวิร์คพอยท์ ในรูปแบบของไทม์แชริ่ง แบ่งรายได้คนละครึ่ง

“ผมคุยกับเวิร์คพอยท์มานานมากว่า ทำดีไม่ทำดี เวิร์คพอยท์เองเขาก็อยากได้รายการทอล์กโชว์ดีๆ เราก็บอกว่าถ้าจะทำทอล์กโชว์แบบวู้ดดี้เราจะไม่ทำข่าวซุบซิบแล้วนะ ไม่ทำแบบรายวัน เพราะทำกันแล้ว ซึ่งมันหมดเวลาที่เราจะมานั่งทำแบบนั้นแล้ว ไม่งั้นเราก็ต้องมาถือไลฟ์ตามทุกคน ซึ่งเราไม่มีเวลาก็กลายเป็นทอล์กโชว์ที่มีความประณีตมากขึ้น จะเหมือนหนังมากขึ้นชื่อว่าวู้ดดี้เวิลด์ เอาง่ายๆ เลยคือโลกของวู้ดดี้ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เรารู้สึกว่าเราอยู่ในวัยที่ทุกอย่างมันน่าสนใจหมด

รูปแบบถูกปรับใหม่ไม่ใช่ “ทอล์กโชว์” แต่เป็น แชริ่งโชว์” จะเน้นเรื่องราวรอบข้างชีวิตที่คนสนใจ คนสงสัยและคนอยากรู้แล้วอยากแชร์ต่อ เน้นเรื่องที่คนสนใจแล้วอยากแชร์ต่อ จะมีความละมุน ไม่แรง ไม่แซ่บ แต่เป็นแรงบันดาลใจ ตบหน้าให้คนดูลุกมาทำอะไรใหม่ๆ อย่างเราเที่ยวถ้ำนี้แล้วมันน่าสนใจเราอยากแชร์ หรือทำไมเราไปวิ่งกับตูนแล้วรู้สึกเขา inspire มาก แล้วก็มีเบื้องหลังที่คนไม่เคยเห็น ที่เราอยากแชร์ โดยจะออกอากาศ เวลา 22.15 น. ผ่านทางไลฟ์ เฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ ไลน์ไลฟ์

สิ่งเดียวที่ผมเกร็งคือว่ามันจะแซ่บมั้ย บอกเลยว่าไม่แซ่บ ถามว่าแรงมั้ย บอกเลยว่าไม่แรง พูดตรงๆ ถามว่าละมุนมั้ย ละมุน ผมการันตีว่าคุณดูวู้ดดี้เวิลด์เนี่ยคุณนอนหลับแบบอมยิ้ม คุณตื่นมาเช้าวันจันทร์คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณอยากทำอะไรมากกว่านี้”

“ไม่ใช่ล้างมือว่าจะไม่แซ่บไม่แรงแล้ว เพราแซ่บกับแรงเนี่ยมันอยู่ได้ แต่มันก็อยู่ได้แค่ชั่วคราว ที่ผ่านมาผมพลาดอย่างเดียว คือ คนดูเขาจะได้อะไร คือสมัยก่อนเราได้แค่ซุบซิบไง แต่เรารู้สึกว่าอยากให้ชีวิตมันดีขึ้นไง ดังนั้นดูแล้วมันจะต้องละมุนขึ้นชีวิต รวยขึ้น มีความกล้ามากขึ้น กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น ดูวู้ดดี้เวิลด์แล้วรู้สึกว่าชีวิตฉันไม่ต้องจบแค่นี้ ชั้นสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย มันไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจ มันคือตบหน้าแล้วให้คุณทำเลย”

วู้ดดี้บอกว่าการยอมกลืนน้ำลาย กลับทำรายการทีวีครั้งนี้ เนื่องจากช่องทางออนแอร์มากกว่าเดิม 4 เท่า ถ้าไม่ออนแอร์ผ่านโซเชียลก็จะไม่ทำแน่นอน 

“รายการออกอากาศในช่องเวิร์คพอยท์เป็นแค่คอนเทนต์หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วออนในเฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ ไลน์ไลฟ์ เป็นหลัก ซึ่งต่างจากที่ผมทำรายการในทีวีแล้วไม่มีโซเชียลเลย คราวนี้มีมากกว่าเดิมอีก 4 เท่าด้วยกัน นี่คือเหตุผลที่กลับมาเลือกทำคอนเทนต์แบบนี้ แต่ถ้ากลับมาทำรายการที่ไม่ได้ออนในโซเชียลเลยไม่ทำแน่นอนครับ”

รายได้จากโซเชียลได้มากกว่าทำทีวี

ส่วนที่ผ่านมารายได้ ครึ่งปี เม็ดเงินโซเชียลมากกว่าทำทีวีด้วยซ้ำ แล้วจนกระทั่งวันนี้ก็มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่า “ทีวี” ยังเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่จะสามารถกระจายในแง่ของคนดูได้ แต่ในแง่ของ “เม็ดเงิน” สู้โซเชียลไม่ได้ ซึ่งเวลานี้ทำรายได้สูงมาก

ที่มา : mgronline.com/entertainment/detail/9610000001457