Dinner in the Sky กินไปเสียวไป

เปิดตัวไปหมาดๆ สำหรับ Dinner in the Sky ภัตตาคารกลางเวหา ที่เน้นขายประสบการณ์ในการทานอาหาร และชมวิวแบบพาโนราม่าบนความสูงระดับ 50 เมตร เทียบเท่าตึกประมาณ 16-17 ชั้น แบบเปิดโล่งไร้สิ่งกีดขวาง 

หลายคนอาจเคยมีความคิดว่า “สักครั้งหนึ่งในชีวิต” ที่อยากจะทานอาหารในบรรยากาศดังกล่าว แต่นึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นไปได้ยังไง ทีมงาน Positioning อยากชวนให้คุณผู้อ่านลองนึกภาพตาม

เมื่อถึงเวลา พนักงานจะนำลูกค้าทั้ง 22 คนต่อรอบ (ต้องเลือกรอบและจ่ายเงินล่วงหน้าทางเว็บไซต์) ไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งหมุนได้ถึง 180 องศา เพื่อสะดวกในการชมวิว หลังจากรัดเข็มขัดนิรภัย 4 จุด เครนเทเลสโคปิคหนัก 200 ตัน ที่ได้มาตรฐานของเยอรมนี ก็จะทำหน้าที่ยกโต๊ะอาหารพร้อมครัวเปิดซึ่งอยู่กลางโต๊ะ โดยมีเชฟและพนักงาน 2 คน คอยให้บริการ ไม่เกิน 5 นาที โต๊ะอาหารก็หยุดอยู่ที่ระดับ 50 เมตร จากนั้นบรรยากาศของมื้อค่ำกลางทองฟ้าก็จะเริ่มต้น กระทั่งครบ 1 ชั่วโมง โต๊ะอาหารก็จะถูกลดระดับลงสู่พื้นดิน แต่หากเกิดฝนฟ้ากระหน่ำ ลมพัดแรงมาก วิศวกรของบริษัทฯ อาจใช้วิจารณญาณนำโต๊ะลงมาก่อนครบเวลาได้

จุดเริ่มต้นไอเดียสุดแหวก

อาจจะเป็นเพราะการแข่งขันในธุรกิจอาหารที่รุนแรงขึ้น บวกกับความเชื่อส่วนตัวที่ว่า “การได้ขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าเป็นความใฝ่ฝันของมนุษยชาติ” ญอง ฟรองซัวส์ เกรอเนียร์ นักธุรกิจหนุ่มชาวเบลเยียมจึงเกิดไอเดียแหวกแนวในการทำร้านอาหาร จนกลายมาเป็น Dinner in the Sky ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2549 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

Dinner in the Sky (DITS) เป็นบริษัทลูกของบริษัท Events in the Sky ซึ่งเกิดการร่วมมือกันของ 2 บริษัท ได้แก่ Hakuna Matata บริษัทเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการประชาสัมพันธ์ร้านอาหารระดับสูง (Gourmet) ร่วมกับ The Fun Group บริษัทที่เชี่ยวชาญในการติดตั้งเครนสำหรับเครื่องเล่นในสวนสนุก ผลงานของบริษัทแม่ที่ผ่านมา เช่น การประชุมเหนือเมืองลอนดอน การเล่นคอนเสิร์ตเปียโนเหนืออ่าวซิดนีย์ และการแต่งงานเหนือแกรนด์แคนยอน เป็นต้น

Dinner in the Sky ได้รับยกย่องให้เป็น 1 ใน 10 ภัตตาคารที่พิสดารที่สุดในโลกจากหลายสื่อทั่วโลก ปัจจุบัน DITS เข้าไปให้บริการแล้วใน 47 ประเทศทั่วโลกและตลอดกว่า 10 ปี DITS ยกโต๊ะขึ้นลงมาแล้วกว่า 6,000 ครั้งสำหรับประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 48 ของโลก และเป็นประเทศที่ 2 ของภูมิภาคอาเซียน โดยเปิดตัวหลังประเทศมาเลเซียถึง 2 ปี

ในการเลือกช่วงเวลาที่จะเข้าไปให้บริการในแต่ละประเทศจะต้องดูสภาพอากาศและฤดูกาลของประเทศนั้นๆ เช่น ในแถบยุโรป DITS จะเปิดให้บริการช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ โดยบางประเทศยังเปิดบริการมื้อกลางวันเพิ่มเติมด้วย ส่วนประเทศไทย DITS เลือกเข้ามาเปิดในช่วงฤดูหนาว เพราะฤดูอื่นอาจเสี่ยงกับสภาพฝนฟ้า โดยเปิดให้บริการเฉพาะมื้อค่ำ เนื่องจากช่วงกลางวันแดดจัดและอากาศร้อนเกินไป

ทำไมต้องกรุงเทพฯ

“ความน่าสนใจของกรุงเทพฯ คือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยบริการอาหารชั้นเยี่ยมมากมาย อีกทั้งยังมีคนนับล้านที่ใช้เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และแสวงหาประสบการณ์อยู่เสมอ” มร. ฟริโซ พอลเดอร์วาร์ต ผู้บริหาร DITS Thailand บอกถึงสาเหตุที่เลือกเมืองไทย หลังจากเปิดให้บริการมาลี้ว 45 ประเทศทั่วโลก

ในเมืองไทยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. 2560 ไปจนถึงสิ้นเดือน ก.พ. 2561 วันละ 2 รอบ คือ รอบ Sunset 18.00 น. และรอบ City Lights 19.30 น. ราคา 4,990 บาท/ที่นั่งสำหรับวันจันทร์-ศุกร์ และ 5,390 บาท/ที่นั่งสำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ (ยังไม่รวมภาษี VAT และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม) โดยต้องจองรอบและจ่ายเงินผ่านเว็บไซต์ เท่านั้น

โดยเมนูอาหารนั้นจะเป็นของโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท พันธมิตรผู้จัดเตรียมเมนู ซึ่งจะปรุงสุกเบื้องต้นที่ห้องครัวภาคพื้นดิน แล้วค่อยอุ่นร้อนและจัดแต่งลงจานขณะอยู่บนฟ้า

พันธมิตรสำคัญรายต่อมา คือ เอ็มโพเรียม สนับสนุนสร้างเลาจน์ระดับ 5 ดาว ซึ่งอยู่ระหว่างเอ็มโพเรียมและไดโนซอร์แพลนเน็ต (บริเวณ EM District) เนื้อที่ประมาณ 1,000 ตารางเมตร

สุดท้ายคือ พันธมิตรด้านการเดินทางอย่าง UBER บริการแท็กซี่ป้ายดำที่จะทำหน้าที่รับส่งลูกค้าจากบ้านมาถึงเลาจน์ เพื่อจะได้แน่ใจว่าลูกค้าที่จองไว้ในแต่ละรอบจะมาทันเวลา

3 สิ่งที่ต้องระวัง

3 สิ่งที่ต้องระวัง เรื่องการแต่งตัว ลูกค้าอาจต้องมัดผมหรือสเปรย์ผมมาให้ดี ส่วนคนขี้หนาวอาจต้องเตรียมเสื้อผ้ากันลมไว้ด้วย

ส่วนใครที่กังวลว่าจะเกิดปวดหนักปวดเบาระหว่างลอยฟ้า ก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ให้นำโต๊ะลงมาเพื่อทำธุระก่อนแล้วค่อยยกขึ้นไปใหม่ได้

สำหรับสาวกโลกโซเชียลมีเดีย จะบริการถ่ายรูปให้ลูกค้าเป็นที่ระลึก บริษัทฯ ยังอนุญาตให้ลูกค้านำมือถือและกล้องไปถ่ายรูปได้เพียงแต่ต้องระวังมือถือและกล้อง รวมถึงทรัพย์สินอื่นจะร่วงหล่น

สุดท้ายคือ ฝนฟ้าอากาศ ถ้าเกิดมีฝนกระหน่ำ ฟ้าร้องฟ้าแลบฟ้าผ่าอย่างหนัก จนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้บริการ บริษัทฯ สามารถที่จะยกเลิการนำโต๊ะขึ้นฟ้าหรือสามารถนำโต๊ะลงมาแล้วจัดให้มีการทานอาหารบริเวณเลาจน์แทนได้ โดยบริษัทฯ จะไม่จ่ายค่าชดเชยให้กับลูกค้า ยกเว้นว่าลูกค้าได้จ่ายค่าประกันดินฟ้าอากาศ (Weather Guarantee) ราคา 799 บาท เอาไว้ล่วงหน้าตอนที่จองที่นั่ง

มาตรฐานความปลอดภัย

1. เครนที่ใช้คือ เครนเทเลสโคปิค เป็นเครนพิเศษหนัก 200 ตัน ซึ่งถูกออกแบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย DIN 4112 ของเยอรมนี  มีวิศวกรถึง 12 คนคอยดูแลและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

2. โต๊ะที่ใช้มีขนาด 6 x 2.5 เมตร น้ำหนัก 5 ตัน เมื่อบรรทุกแขก 22 คนพร้อมเชฟ พนักงาน อาหาร และอุปกรณ์ต่างๆ เต็มที่ จะมีน้ำหนักราว 7 ตัน สามารถทำความสูงได้มากกว่า 50 เมตร

3. ทุกเก้าอี้ของลูกค้าจะมีเข็มขัดนิรภัยแบบ4 จุด เป็นความปลอดภัยระดับเดียวกับเครื่องเล่นรถไฟเหาะ แต่ภัตตาคารลอยฟ้าจะไม่มีการแกว่งหรือหมุนใดๆขณะที่เชฟและพนักงานบริการจะมีสลิงติดไว้ที่เอวตลอดเวลาเพื่อให้สามารถเดินให้บริการได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

นอกจากนี้ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือสูงไม่ถึง 150 ซม. ห้ามขึ้น สำหรับคนที่เป็นโรคความดันและโรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน ส่วนคนที่กลัวความสูงอย่างหนัก เขาไม่แนะนำเพราะอาจกลัวจนทานอาหารไม่อร่อยได้.