เมื่อยักษ์ใหญ่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติมีการลงทุนระดับหมื่นล้านบาท หวังรายได้หลายพันล้านบาท มาเจอกับธุรกิจร้านอาหารไทยที่อยู่มานานประมาณ 20 ปี ภายใต้การบริหารแบบครอบครัว ที่มีรายได้ระดับเกินร้อยล้าน แม้ขนาดธุรกิจจะต่างกันแต่ดีลก็ลงตัว ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกันว่าเปิดตลาดอาหารไทยในต่างประเทศ และปีแรกมีรายได้หลักร้อยล้านบาท และภายใน 5 ปีโต 10 เท่าเป็นพันล้านบาท นอกเหนือจากการสร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ให้กับเส้นทางธุรกิจของทั้งสองฝ่าย
ดีลนี้เคยประกาศไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา คือโดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ส่ง บริษัท สยาม สพูน จำกัด เพื่อร่วมทุนกับ บริษัท บางกอก วูดเด้น สพูน จำกัด เจ้าของร้านอาหาร “บ้านหญิง” จดทะเบียนตั้งบริษัท BAAN YING PTE. LTD., ที่ประเทศสิงคโปร์ ทุนจดทะเบียน 1,400,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 33.6 ล้านบาทขณะนั้น โดย สยาม สพูน ถือหุ้น 51% บ้านหญิง 49%
แผนของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติจากสิงคโปร์ คือการลงทุนธุรกิจเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงเกินไป ไรมอน แลนด์ จึงเร่งหาธุรกิจใหม่มาเสริม นอกเหนือจากธุรกิจหลัก ที่ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัยที่เน้นคอนโดมิเนียมราคาระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต ปีที่ผ่านมาเปิดขายโครงการภายใต้แบรนด์ลอฟท์ที่สีลม อโศก ที่มียอดขายแล้ว 75-78% และจะเปิดตัวปีนี้อีก 2 โครงการที่สาทร 12 และพร้อมพงษ์ สุขุมวิท โดยแต่ละโครงการลงทุน 3-5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ยังลงทุนอาคารสำนักงานให้เช่าที่จะเป็นตึกสูงสุดย่านเพลินจิตและที่ประกาศไปแล้ว คือลุยลงทุนธุรกิจร้านอาหาร หลังจากที่ได้ตั้งบริษัทร่วมทุนกับร้านอาหารกลุ่ม “บ้านหญิง” โดยหวังว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะทำรายไ้ด้ให้ไรมอนแลนด์ประมาณ 10% ของรายได้รวม ส่วนธุรกิจอื่นยังมีเตรียมเปิดเผยข้อมูลการลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจดิจิทัลออนไลน์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
สำหรับธุรกิจร้านอาหารที่กำลังเดินหน้านี้ “เอเดรียน ลี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าดีลตกลงกับ “บ้านหญิง” เพราะเป็นธุรกิจที่โฟกัสเรื่องร้านอาหารจริง ๆ มีจุดเด่นรสชาติ และมีขนาดธุรกิจที่ไม่ใหญ่มาก และที่สำคัญเมื่อเจรจากันแล้วมีแนวคิดและเป้าหมายที่ตรงกัน
อรนุช ธารีฤกษ์ หรือ ป้าหญิง ในวัย 65 ปี ผู้ก่อตั้งร้านอาหารบ้านหญิง ที่เปิดร้านแรกประมาณปี 2540 ที่สาขาสยามสแควร์ แทนธุรกิจเดิมคือร้านตัดเสื้อ ตัดสูทที่ทำมาตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปีกับเพื่อน แต่เจอวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จึงต้องปิดตัว
ป้าหญิง จบด้านบรรณารักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงไม่ได้ลงมือตัดเสื้อผ้าเอง และไม่ได้ลงมือทำอาหารเอง แต่คือคนที่ดูแลทุกรายละเอียดด้วยตัวเอง
“บ้านหญิง” เริ่มต้นจากทำร้านอาหารเน้นกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาเรียนพิเศษ จึงเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเด็กหลายคนวันนี้โตแถวสยามฯ ก็รู้จักร้านบ้านหญิงเป็นอย่างดี จนเปิด 7 สาขาตามห้าง ก็มีลูกค้าประจำมาอุดหนุน และยังมีอีกหลายแบรนด์ในเครือ ที่รายได้ปีหนึ่งทะลุหลักร้อยล้านแล้ว
บ้านหญิงไม่ได้มีเพียงไรมอนแลนด์มาติดต่อร่วมทุนรุกต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายราย แต่ป้าหญิงเลือกตกลงกับไรมอนแลนด์ ที่ป้าหญิงเล่าว่า เบื้องหลังการดีลครั้งนี้ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมาก แค่ได้คุยกับคุณเอเดรียน และพี่ชายของเขาที่สิงคโปร์ก็ชอบในเป้าหมายธุรกิจ โดยไปคุยกันโดยมีลูก ๆ 3 คน คือสุปรีชา,ทรงศร, อรินทม์ จั่นสัญจัย และ อนุสสรา จันทรวิถี ลูกพี่ลูกน้องของป้าหญิงไปด้วยกัน ทริปนี้ไม่ได้ไปคุยกันในห้องประชุมที่ออฟฟิศไรมอนแลนด์ที่สิงคโปร์
“ไปกัน 4 วัน เขาพาไปร้านกาแฟ ร้านอาหารต่าง ๆ ที่สิงคโปร์ กินทั้งวัน เพื่อให้รู้ว่าร้านอาหารที่สิงคโปร์เป็นยังไง ดีลนี้เป็นธุรกิจก็จริง แต่วิธีการเจรจาของเขาไม่ใช่มาแบบธุรกิจ หลักการของป้าหญิงคือ ถ้าคิดว่าลงตัวแล้ว ไม่ต้องคิดนาน”
ทางด้านอนุสสรา เล่าเพิ่มเติมว่า การเจรจาครั้งนี้ ไม่มีพรีเซนเตชั่น มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวที่ให้ข้อมูลตัวเลขการร่วมทุน และเป้าหมายรายได้ โดยผู้บริหารสิงคโปร์พาเราไปนั่งสำรวจพื้นที่ท่ีจะเปิดสาขาที่ตึก Royal Square ที่ตั้งอยู่ในเขตคอมเพล็กซ์เพื่อสุขภาพของ Novena Health City นั่งทั้งวันจนเห็นว่าเป็นที่ที่มีโอกาสในการเปิดร้านได้
จากนั้นป้าหญิงก็หารือกันก็ตอบตกลง ทั้งหมดนับตั้งแต่เริ่มติดต่อกันใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
ทรงศร ซึ่งจบทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ ที่อังกฤษ เปิดเผยว่า เตรียมรีเฟรชแบรนด์บ้านหญิงให้สดใสขึ้น ในช่วงเปิดตัวที่สิงคโปร์ โดยภายในไตรมาส 1 ปีนี้ จะเปิดร้านที่มี 2 แบรนด์ ในชั้น 1 คือร้าน Dink Dink ที่เน้นความสะดวก รวมเร็ว เมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง และเครื่องดื่มไทยโบราณ และชั้น 2 เป็นร้าน “บ้านหญิง” ที่มี 70 เมนู ขณะที่ในไทยมี 120 เมนู ส่วนไตรมาส 3 จะเปิดร้านที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์สไตล์ฮอตพอท โดยแผนเปิดร้านในปีแรกคาดหวังรายได้ 100 ล้านบาท เพิ่มลงทุนเปิดสาขาต่างประเทศเพิ่มรวมภายใน 5 ปี 20 สาขา แบ่งเป็นที่สิงคโปร์ 6 สาขา ไต้หวัน 2 สาขา และจีน 12 สาขา คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กลุ่มบ้านหญิงเพิ่มขึ้น 40-50%
ปัจจุบันร้านอาหารต้องปรับตัวเข้ากับไลฟ์สไตล์ อย่างในอดีตคนเข้าร้านอาหารอยากได้ความรวดเร็ว หรือโทนร้านจะมืด ๆ หน่อย แต่ปัจจุบันคนจะสนใจอาหารในแนวสุขภาพมากขึ้น เป็นต้น สำหรับร้านบ้านหญิงในไทย 7 สาขาโดยเฉลี่ยมีคนเข้าร้าน 500 คนต่อวัน เฉลี่ยรายได้ต่อคน 200-300 บาท
ปัจจุบันนอกจากแบรนด์ “บ้านหญิง” ที่เป็นอาหารไทยรสชาติที่คนไทยทานแล้ว ยังมีแบรนด์อื่น ๆ เช่น Isan&Grill , Kram Cafe & Thai Kitchen, Three Wheels Tomyum Uman Uma Hakata Diningg, Egg My God.