สถานการณ์ตลาดน้ำผลไม้มูลค่า “หมื่นล้าน” ในหลายปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่กระทบการบริโภค และต่อให้ “เทรนด์สุขภาพ” มาแรง ก็ไม่สามารถเป็นตัวฉุดให้พฤติกรรมคนไทยหันมาซื้อน้ำผลไม้มากขึ้น จนกระตุ้นตลาดเติบโตได้ อย่างปี 2560 ตลาดติดลบถึง 8% โดยเซ็กเมนต์พรีเมียมมูลค่า 5,000 ล้านบาท ติดลบ 7%
สถานการณ์บีบคั้นดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการเครื่องดื่มต้องปรับตัว ไม่ได้รอแค่โอกาสทำตลาดในประเทศเท่านั้น เพราะเวทีในบ้านเล็กไม่เพียงพอต่อการสร้างการเจริญเติบโตและขยายอาณาจักรให้ใหญ่ได้อีกมากนัก เพราะขนาดตลาดที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน เมื่อเทียบกับ “ภูมิภาคอาเซียน” ที่มีประชากรและขนาดตลาดกว่า 600 ล้านคน ย่อมมีความน่าสนใจในการเข้าไปกอบโกย “ขุมทรัพย์” มากกว่า แต่จะให้เข้าไปนับ 1 สร้างโรงงาน สร้างแบรนด์ และหาตลาดเป้าหมาย คงไม่ทันการณ์ “ทางลัด” จึงเป็นวิธีการที่หลายบริษัทนำมาใช้
ล่าสุด “มาลี กรุ๊ป” ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดน้ำผลไม้ ได้ทุ่มเงิน 330 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ “ลอง ควน เซฟ ฟู้ด” จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มในเวียดนาม ในสัดส่วน 65% เพื่อเป็นสปริงบอร์ดให้มาลีในการเข้าไปบุกตลาดประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ในอาเซียน
ทั้งนี้ ลอง ควน เซฟ ฟู้ด จะเป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญที่มาต่อยอด “ธุรกิจเครื่องดื่มของมาลีในหลายด้าน ดังนี้
• เป็นบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่อันดับ 7 ของเวียดนาม ก่อตั้งและทำธุรกิจมานานกว่า 25 ปี มีผลิตภัณฑ์ แบรนด์เป็นที่รับรู้และได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคชาวเวียดนาม ซึ่งนั่นหมายความว่า จะทำให้ “การสร้างแบรนด์” สำหรับมาลีไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
• สายการผลิตที่ครบวงจร และมีกำลังการผลิตเครื่องดื่ม 300 ล้านลิตรต่อปี ทำให้บริษัทสามารถใช้โรงงานดังกล่าวเป็นฐานผลิตสินค้า โดยไม่ต้องส่งออกจากประเทศไทยไปทำตลาด เพราะเครื่องดื่มเป็นสินค้าที่หนัก มีภาระต้นทุนค่าขนส่งสูง การได้ฐานผลิตในประเทศช่วยลดต้นทุนได้มหาศาล และส่งผลให้การทำ “ราคา” ได้อย่างเหมาะสม และเอื้อต่อการสร้างควาได้เปรียบทางด้านการแข่งขันของราคาในตลาดได้ด้วย ซึ่งราคาถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคใน Emerging Market
• โรงงานสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายทั้งน้ำดื่ม เครื่องดื่มอัดแก๊สหรืออัดลม เครื่องดื่มเจลลี่ในรูปแบบกระป๋อง ขวดพลาสติก ถ้วยพลาสติกและขวดแก้ว ทำให้พอร์ตโฟลิโอของโปรดักต์มีความหลากหลาย รองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น
• ลอง ควน เซฟ ฟู้ด มีสินค้าราคา 10 บาท ทำตลาดในระดับแมส ส่วนมาลีมีสินค้าระดับพรีเมียม สามารถนำไปซีนเนอร์ยีในการทำตลาดระหว่าง 2 ตลาดได้ ทำให้โปรดักต์พอร์ตโฟลิโอครอบคลุมทุกตลาด ล่าง กลาง บน
• โรงงานจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของมาลีเป็น 630 ล้านลิตรต่อปี รองรับความต้องการ (Demand) ของผู้บริโภคในอนาคต
• การมีช่องทางการจัดจำหน่ายครอบคลุมในประเทศเวียดนาม ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งและการกระจายสินค้าเข้าถึงทุกภาค โดยเฉพาะภาคใต้ของประเทศเวียดนาม ซึ่งโดยทั่วไป การทำตลาดในประเทศเวียดนามนั้น อุปสรรค (Threats) ที่สำคัญคือการกระจายสินค้า เพราะภูมิประเทศที่ยาว ทำให้แต่ละแบรนด์ไม่สามารถกระจายสินค้าป้อนถึงผู้บริโภคเป้าหมายได้ครอบคลุม จึงยากที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจะกินรวบตลาดทั้งประเทศได้
น้ำผลไม้มาลี มีการขยายตลาดไปยัง 30 ประเทศทั่วโลก และที่ผ่านมามีเพียง 2 ประเทศที่เข้าไปในรูปแบบร่วมทุน คือ ประเทศฟิลิปปินส์ โดยร่วมทุนกับบริษัท มอนเด นิสชิน คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและแครกเกอร์รายใหญ่ของประเทศ และประเทศอินโดนีเซียที่ร่วมทุนกับบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเชีย หนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ ขณะที่เวียดนามเป็นครั้งแรกที่เข้าไปซื้อกิจการ “โอภาส โลพันธ์ศรี” รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่า
“การซื้อกิจการในเวียดนามเป็นกลยุทธ์สร้างเครือข่ายระดับภูมิภาคด้วยนำจุดแข็งของพันธมิตรมาเสริมแกร่งซึ่งกันและกัน สร้างขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ที่สำคัญกลยุทธ์ดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมของมาลีในการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ ช่วยผลักดันยอดขายให้พิ่มเป็น 60% ภายใน 3 ปี จากปัจจุบัน 40% และขยับเข้าสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพระดับโลกในปี 2564 ด้วย”
แม้บุกหนักต่างประเทศ ในบ้านก็ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจ โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท ปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพในการผลิต ผลักดันยอดขายให้เติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่องใน 3 ปี (2561-63) ส่วนปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท เติบโต 30% ส่วนปีหน้าคาดว่ายอดขายจะทะลุ 10,000 ล้านบาท.