นอกจากเฟซบุ๊ก (Facebook) ที่มีสัญญาณของการปรับตัวและปรับทิศทางของนิวส์ฟีดเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ และพาร์ตเนอร์ในระยะยาวแล้ว ทางฟากของแอปเปิล (Apple) ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ในปี 2018 นี้มีสัญญาณหลายๆ อย่างที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทอยู่ในช่วงที่ต้องเริ่มคิดหาแนวทางในการเอาตัวรอดจากนักลงทุนไว้บ้างแล้วเช่นกัน
เหตุที่กล่าวเช่นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการคาดการณ์ยอดขายและรายได้ในไตรมาสปัจจุบัน รวมถึงยอดขายไอโฟน (iPhone) ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีว่าอาจไม่เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดเอาไว้
โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2017 นั้น แอปเปิลควรจะขายไอโฟนได้ที่ 80.2 ล้านเครื่อง แต่ตัวเลขจากแอปเปิลเปิดเผยออกมาแล้วว่าขายไปได้ที่ 77.3 ล้านเครื่อง (ลดลง 1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) ซึ่งถึงแม้จะไม่โดนใจนักลงทุน แต่แอปเปิลก็ชี้ว่า ราคาขายเฉลี่ยต่อเครื่องได้ก้าวกระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 796 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 25,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงปี 2013 – 2017
ส่วนคาดการณ์รายได้ในเดือนมกราคม – มีนาคมปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 60,000 – 62,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 65,900 ล้านเหรียญสหรัฐเช่นกัน ทำให้ในตอนนี้ แอปเปิลมีสัญญาณที่ดีในมุมของนักลงทุนน้อยลงเรื่อยๆ โดยอาจจะเหลือเพียงแค่ยอดขายไอโฟนเท็น (iPhone X) ที่แอปเปิลระบุว่าเติบโตได้ดี ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถดึงราคาขายเฉลี่ยต่อเครื่องขึ้นมาได้สูงมากระดับนี้ ในขณะที่รุ่นถูกกว่านั้นไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก
อย่างไรก็ดี การมียอดขายลดลง เท่ากับว่าแอปเปิลต้องทำงานหนักขึ้นในการขายแอสเซสซอรี่อื่นๆ เพื่อหารายได้เสริม และทำให้นักลงทุนเกิดตั้งคำถามว่า บริษัทที่อยู่ในภาวะเช่นนี้จะมีโอกาสที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือ The Next Big Thing ขึ้นมาได้หรือไม่
โดยผลประกอบการของแอปเปิลในไตรมาสแรกของปีนั้นประกาศรายได้เอาไว้ที่ 88.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ด้านผู้บริหารฝ่ายการเงินของแอปเปิลอย่าง Luca Maestri กล่าวว่า ส่วนหนึ่งมาจากช่วงวันหยุดปีใหม่ 2017 – 2018 นั้นสั้นกว่าปีก่อนๆ จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งที่กระทบต่อยอดขายของไอโฟนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000010863