ช่อง 3 เขย่าผัง-องค์กร ทาบ “วรรณี รัตนพล” ขึ้นประธานกรรมการบริหาร ปรับสูตรคอนเทนต์ ลดข่าว เพิ่มละคร วาไรตี้

ต้องนับว่าเป็นความท้าทายสำหรับ ช่อง 3  อาจต้องปรับโครงสร้างการบริหารอีกระลอก หลังจากที่สมประสงค์ บุญยะชัย อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีอีซี เวิลด์ หรือกลุ่มช่อง 3 ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เหลือไว้เพียงแค่กรรมการบริษัท

ล่าสุด ได้ปรากฏชื่อของ วรรณี รัตนพล ประธานบริหาร ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ซึ่งคร่ำหวอดอยู่กับวงการมีเดียเอเยนซี่และการตลาดมานาน 40 ปี และเป็นอดีตนายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย มาเป็นปรึกษาซีอีโอ “ประชุม มาลีนนท์” ทำงานสัปดาห์ละ 2 วัน

วรรณี ได้เข้ามาทำงานที่ช่อง 3 บ้างแล้ว ด้วยการประชุมฝ่ายบริหารของช่อง 3 เพื่อสรุปข้อมูล สถานการณ์ของบริษัททันที จนมีการคาดการณ์ว่า วรรณี อาจจะเตรียมขึ้นมารับตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเวลานี้ประชุมรักษาการอยู่

วรรณี บอกกับ Positioning ว่า ได้รับการทาบทามจากช่อง 3 จริง แต่ยังอยู่ระหว่างตัดสินใจ เนื่องจากเวลานี้ยังติดสัญญาการทำงานกับไอพีจีฯ จนถึงสิ้นปี 2561 ซึ่งทำงานสัปดาห์ละ 3 วัน แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร โดยที่ผ่านมาช่อง 3 ได้เชิญไปให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพธุรกิจทีวี การแข่งขัน และให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับตัวของช่อง 3

ไปให้คำแนะนำกับช่อง 3 ควรทำอย่างไร Positioning ของช่องต้องชัดเจน เพื่อให้คนจดจำ เพราะสถานการณ์ของช่อง 3 ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เวลานี้คู่แข่งเยอะขึ้นมาก

การดึงมืออาชีพจากภายนอกเข้ามาเสริมทัพในทีมบริหาร ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของช่อง 3 หลังจากปีที่แล้วได้รับมืออาชีพเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนเวลานี้ผู้บริหารระดับสูงในระดับ C-Level หรือกลุ่มที่เรียกว่า chief มากกว่า 10 คน เช่น

โครงสร้างลักษณะนี้ นอกจากมีลำดับขั้นในการตัดสินใจแล้ว อาจไม่สอดคล้องกับโจทย์หลักของช่อง 3 เวลานี้ ที่ต้องมุ่งเน้นการหารายได้จากโฆษณาอย่างหนัก  จึงทำให้ช่อง 3 ต้องไปดึงมืออาชีพด้านมีเดียเอเยนซี่ การตลาดเข้ามาเสริมทีม เพื่อตอบโจทย์ในการทำตลาด และขายโฆษณา และเข้าถึงกลุ่มคนดูได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นความท้าทายของช่อง 3 หลังจากเปิดตัวเลขผลประกอบการปีที่แล้ว ด้วยกำไรเพียงแค่ 61 ล้านบาท

หลังจากประกาศตัวเลขผลประกอบการ ปี 2560 มีรายได้รวมทั้งปี 11,035 ล้านบาท มีกำไร 61 ล้านบาท รายได้รวมลดลง 10% จากปี 2559 ที่มีรายได้รวม 12,265.8 ล้านบาท แต่กำไรลดลงถึง 95% เป็นตัวเลขรายได้และกำไรที่น้อยที่สุด นับตั้งแต่มีทีวีดิจิทัล 22 ช่องเข้ามาแข่งขันในตลาด

ผู้บริหารช่อง 3 นำโดยประชุม มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงกับบรรดานักลงทุนและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ถึงทิศทางธุรกิจของกลุ่มช่อง 3 ในปี 2561

ผังรายการของช่อง 3 HD ในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มละคร และรายการวาไรตี้เกมโชว์มากขึ้น โดยละครจะมีสัดส่วนเพิ่มจาก 20.91% ในปี 2560 เป็น 26.28%, รายการวาไรตี้เพิ่มจาก 21.61% เป็น 22.30% ในปีนี้  นอกจากนี้ยังเพิ่มสัดส่วนรายการภาพยนตร์ จากเดิม 0.67% มาเป็น 2.24%

ในขณะที่รายการข่าว จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 38.43% จะลดลงเหลือ 36.61% หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการหายไปจากหน้าจอของ ”สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ด้วยคดีทางศาล มีผลต่อเรตติ้งและรายได้ของช่องที่ลดลงอย่างมาก เปิดทางให้ช่องคู่แข่ง ทั้งช่อง 7, ช่อง 8, ช่องวัน และเวิร์คพอยท์ เข้ามากินส่วนแบ่งรายการข่าวได้มากขึ้น

รายการสารคดี และกีฬาก็จะลดลงเพื่อเปิดทางให้ละครและวาไรตี้ด้วยเช่นกัน (รายละเอียดตามภาพ)

วางช่อง 3SD เป็นช่องรีรันละคร

ช่อง 3 SD หรือช่อง 28 นั้นจะมีการเพิ่มสัดส่วนละครและละครรีรันจาก 29.86% เป็น 32.60%

แต่เพิ่มสัดส่วนรายการข่าว สวนทางกับช่องหลัก หลังจากที่รายการข่าวเช้า และบางรายการทอล์กโชว์ข่าวเริ่มสร้างกระแสเรียกเรตติ้งได้ โดยเพิ่มจาก 28.66% เป็น 32.06%

ส่วนรายการที่ลดลงคือวาไรตี้และรายการกีฬา โดยวาไรตี้ลดจาก 13.94% มา 11.44% ส่วนรายการกีฬาลดจาก 11.53% เหลือ 8.62%

ปรับผังช่อง 13 เน้นซีรีส์และภาพยนตร์ต่างประเทศ

สำหรับช่อง 3 Family หรือช่อง 13 เพิ่มทั้งรายการข่าว ละคร วาไรตี้ รายการเด็ก และที่สำคัญเพิ่มรายการภาพยนตร์ จากเดิม 1.33% มาเป็น 4.95% ส่วนรายการที่ลดลงคือ รายการสารคดี และรายการกีฬา

การปรับผังรายการรอบนี้ ช่อง 3 เน้นการทำรีเสิร์ชเข้มข้นให้มากขึ้น เพื่อหวังจะให้ตรงใจคนดูแบบไม่คาดเดา พร้อมกับจะปรับผังรายการของทั้ง 3 ช่องตลอดเวลา

ช่อง 3 HD ซึ่งอยู่อันดับ 2 ของช่องที่ทำเรตติ้งสูงสุด จะเน้นกลุ่มผู้ชมที่เป็นกลุ่ม F15 UM หรือกลุ่มผู้หญิงอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 3 หมื่นบาทต่อเดือน ที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสินค้าสูง และเป็นกลุ่มฐานคนดูหลักของช่อง 3 อยู่แล้ว

สำหรับช่อง 3SD ช่อง 28 นั้น อยู่ในอันดับที่ 9 ส่วนช่อง 3 family หรือช่อง 13 อยู่ในอันดับที่ 16 จาก 25 ช่องทีวีดิจิทัล

จับมือแพลตฟอร์มใหม่ขยายออนไลน์คู่ออนแอร์

ปีนี้ช่อง 3 หันมาเน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยจะมีช่องทางใหม่ๆ ในการออกอากาศแบบคู่ขนาน และการทำกิจกรรม on ground activities ไปในพื้นที่อื่นๆ ตั้งแต่ประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้วยการร่วมมือกับแพลตฟอร์มหลากหลาย Youtube, Line TV, Tencent Vedeo และ Mello

โดยแบ่งการออกอากาศผ่านช่องออนไลน์ออกเป็น 4  ช่วง

  • ออกอากาศสดพร้อมกับทีวี ผ่านแพลตฟอร์มและแอปของช่อง 3 คือ 3 LIVE และCh3 Thailand
  • ออกอากาศภายใน 2 ชั่วโมง ร่วมกับ LINE TV นำรายการข่าวมาออกอากาศ เช่น Flash news, เป็นข่าวเช้านี้, ข่าว 3 มิติ, คนเฝ้าข่าว, เที่ยงเปิดประเด็น, รายการแจ๋ว
  • รีรันครั้งแรกในช่วงกลางคืน ผ่านแพลตฟอร์ม mello ละคร เนื้อหาที่ mello ผลิตเอง และซีรีส์ต่างประเทศ
  • รีรันภายใน 48 ชั่วโมง ผ่าน Youtube ซึ่งมีทั้งหมด 6 ออฟฟิเชียล ชาแนล คือ Ch3 Thailand

ผ่าน LINE TV ช่อง 3 ได้จับมือกับไลน์ในการนำละคร มาออกอากาศ และร่วมกันในการออกแพ็กเกจการขายร่วมกัน

ในส่วนของแพลตฟอร์ม mello ที่ช่อง 3 ใช้เวลาปลุกปั้นมาสพักใหญ่ จะเปิดเต็มรูปแบบในเดือนมีนาคม มุ่งเน้นขยายฐานคนดูที่เป็นคนรุ่นใหม่ เช่น รายการเรียลริตี้ ป๊อกกี้ (ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ และ มาร์กี้ ราศรี)

ส่วนการร่วมมือกับ Tencent ในการขายลิขสิทธิ์ละครทั้งหมด 3 เรื่องให้ไปออกอากาศในแพลตฟอร์ม OTT ของ Tencent ก็เพื่อขยายคนดูไปที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหม่ และสร้างรายได้จากการขายลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้น

ทุ่มโปรโมตช่อง

ขณะเดียวกัน ช่อง 3 จะหันมาเพิ่มน้ำหนักในเรื่องการตลาด ด้วยการโปรโมตช่องและรายการ ผ่านทาง คอนเสิร์ต Ch3 Power Team concert, สื่อกลางแจ้ง สถานีรถไฟฟ้า โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และผ่านศิลปินนักแสดงของช่องที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างการรับรู้ในตัวช่อง และรายการต่างๆ ที่เป็นไฮไลต์มากขึ้น

สำหรับสื่อโซเชียลของช่องปัจจุบันนั้น มีผู้ติดตามในทุกช่องทางโดยเฉพาะช่องทางไลน์รวมทุกแอคเคานต์ มีสูงถึง 27.83 ล้านราย ตามมาด้วยเฟซบุ๊ก 16.49 ล้านราย อินสตาแกรม 523,900 ราย และทวิตเตอร์ 109.454 ราย.