กลายเป็นปรากฏการณ์ East meets West ที่มาลงตัวกันที่ประเทศไทย เมื่อกลุ่มซันโทรี่และเป๊ปซี่ โคซึ่งประกาศร่วมทุนกันตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 วันนี้ทุกอย่างลงตัวเป็นที่เรียบร้อย ภายใต้บริษัทร่วมทุนใหม่ ชื่อชัดเจนว่า บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่ โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPBT เป็นชื่ออย่างเป็นทางการ สำหรับบริษัททุนจดทะเบียน มูลค่า 19,680 ล้านบาท ที่มีเป้าหมายผลิตสินค้าเพื่อบุกตลาดไทยโดยเฉพาะ จากการเสริมจุดแข็งและแก้เพนพอยต์ของทั้งสองฝ่ายได้อย่างลงตัวจากการร่วมทุน
การรวมตัวครั้งนี้ยังถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเครื่องดื่มไทยอีกด้วย จากการผสานพลังของบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่จากสองทวีปคือซันโทรี่จากเอเชียหรือฝั่งตะวันออก กับบริษัทเป๊ปซี่โคแบรนด์เครื่องดื่มเบอร์ต้น ๆ จากฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ต่างฝ่ายต่างมีศักดิ์ศรีและดีกรีของผู้เล่นรายใหญ่ทั้งระดับประเทศในประเทศต้นกำเนิดและระดับโลก
แต่มารวมตัวกันเพื่อเดิมพันที่จะบุกยึดตลาดเครื่องดื่มไทยจากการร่วมมือกันในครั้งนี้ ภายใต้เป้าหมายใหญ่ของการรวมตัวว่า “ต้องการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทย”
เป้าหมายแบบนี้ทำให้ผู้บริโภคไทยมั่นใจได้เลยว่า นับจากนี้นอกจากเครื่องดื่มที่มีจำหน่ายอยู่แล้วของทั้งสองรายจะกระจายสู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทยเพิ่มขึ้นแล้วก็จะได้เห็นการรุกขยายพอร์ตโฟลิโอเครื่องดื่มอย่างเต็มรูปแบบของบริษัทร่วมทุนนี้ เกิดขึ้นในตลาดไทยตามมาให้เห็นอีกหลายตัว
การเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา มีผู้บริหารระดับสูงจากทุกฝ่าย พร้อมกับมีการประกาศวิสัยทัศน์องค์กรชัดเจน เริ่มจาก ซาบุโระ โคโกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด จำกัด และ ปริญญา กิจจาธนพันธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอินโดจีน บริษัท เป๊ปซี่โค เซอร์วิสเซส เอเชีย จำกัด เป็นตัวแทนของทั้งสองฝ่าย และมี โอเมอร์ มาลิค ที่รับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ของ SPBT เป็นคนแรก
สาระสำคัญหลังเปิดตัวบริษัทคือ การประกาศอย่างเป็นทางการว่า SPBT วางแผนจะบุกตลาดเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ไทย ซึ่งมีมูลค่าในปี 2560 จากการสำรวจของ บริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด ประมาณ 154,693 ล้านบาท โดยจะใช้การสื่อสารภาพลักษณ์องค์กรที่เกิดจากการร่วมทุนใหม่นี้ภายใต้แนวคิด “GROWING FOR GOOD” พร้อมตั้งเป้าชิงตำแหน่งเบอร์หนึ่งในตลาดน้ำอัดลมควบคู่การรุกขยายพอร์ตเครื่องดื่มแบบครบวงจร
“เครื่องดื่มในพอร์ตฯ ของ SPBT ที่มีอยู่ตอนนี้ มีทั้งเครื่องดื่มที่ช่วยเติมเต็มความสดชื่น เครื่องดื่มเกลือแร่ ชา–กาแฟพร้อมดื่ม น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำผลไม้ รวมไปถึงนวัตกรรมในอนาคต ที่จะออกมาเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคไทย” โอเมอร์ กล่าว
ส่วนการแก้ “เพนพอยต์” ของทั้งสองบริษัทที่กล่าวถึงในตอนต้นเริ่มจากฝ่ายซันโทรี่ แม้จะเป็นรายใหญ่จากญี่ปุ่นที่ได้เปรียบในแง่แบรนด์ที่คนไทยชื่นชอบมียอดขายสูงในญี่ปุ่น แต่ในตลาดไทยก็ถือว่าเป็นรองเครื่องดื่มอีกหลายแบรนด์ ทั้งของไทยเองและแบรนด์จากชาติต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยการสร้างแบรนด์แนะนำให้ผู้บริโภคไทยรู้จักมากขึ้นอีกไม่น้อย
ขณะที่เป๊ปซี่โคหลังจากแยกทางกับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรายเดิมไปหลายปีก็เพลี่ยงพล้ำในตลาดไทยไปหลายจุด ทั้งจากการผลิตสินค้าภายใต้บรรจุภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ไปจนถึงการกระจายสินค้าเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายที่เคยเป็นสตราทิจิคชาแนล ที่ทำให้เป๊ปซี่เป็นน้ำดำที่ครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งในไทยมายาวนานเกือบจะเหลือเพียงตำนาน
แต่ก็ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในบางแคทิกอรี่ให้เป็นอันดับหนึ่งไว้ได้ ตามการอ้างอิงข้อมูลจากนีลเส็น ซึ่งเปิดเผยข้อมูลว่ามูลค่าตลาดน้ำอัดลมในไทยในปี 2560 มีอยู่ประมาณ 54,900 ล้านบาท
“ปัจจุบัน เครื่องดื่มเป๊ปซี่ถือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดน้ำดำในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (ทั้งขวดพีอีทีและกระป๋อง) ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่า 45% และยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี แต่เรายังไม่หยุดเพียงแค่นี้ ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์เครื่องดื่มที่เรามี ควบคู่กับศักยภาพความพร้อมของทีมงาน ตลอดจนการสนับสนุนจากบริษัทแม่ทั้งสองแห่ง เรามั่นใจว่า SPBT จะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดน้ำอัดลมมูลค่าห้าหมื่นล้านบาทได้ในไม่ช้า และสร้างการเติบโตในตลาดเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ได้อย่างยั่งยืน” โอเมอร์ กล่าว
หลังจากนี้ บริษัทร่วมทุนที่เกิดขึ้น จะรับหน้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มให้กับเครือเป๊ปซี่โค อาทิ เครื่องดื่ม “เป๊ปซี่” “มิรินด้า” “เซเว่น–อัพ” ชาพร้อมดื่ม “ลิปตัน” เครื่องดื่มเกลือแร่ “เกเตอเรด” และเครื่องดื่ม “อควาฟิน่า” รวมไปถึงการพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มและสินค้าใหม่ ๆ จากซันโทรี่ในอนาคต
ปัจจุบัน SPBT มีฐานการผลิตเครื่องดื่ม 2 แห่ง คือ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง เนื้อที่ 96 ไร่ และโรงงานภายในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค จังหวัดสระบุรี บนพื้นที่ 104 ไร่
ส่วนด้านการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า SPBT ยังคงใช้วิธีจับมือกับ “ดีเอชแอล” พันธมิตรด้านโลจิสติกส์และการบริหารคลังสินค้าระดับโลก ควบคู่ไปกับการใช้โมเดลธุรกิจแบบดิสทริบิวเตอร์เพื่อกระจายสินค้าไปยังท้องถิ่นผ่านตัวแทน 24 แห่ง ซึ่งสามารถเข้าถึงร้านค้าปลีก–ส่งและร้านโชห่วยกว่า 470,000 แห่งทั่วประเทศ
นับจากนี้ SPBT ภายใต้วิสัยทัศน์ GROWING FOR GOOD เพื่อมุ่งสร้างความยั่งยืนและการเติบโตทางธุรกิจภายในประเทศไทย จะดำเนินงานผ่าน 5 ภารกิจหลัก นั่นคือ
- การลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ (Brand Building)
- การพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและขยายตลาดให้กว้างขึ้น (Innovation and Portfolio Expansion)
- การรุกขยายระบบการกระจายสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในทุกช่องทาง (Proactive Channel Expansion)
- การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม (Social & Environmental Responsibility)
- การพัฒนาองค์กรและศักยภาพของบุคลากร (Organizational & HR Development)”