Mello แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวด้วยมนต์กฤษณะกาลี

เรียกได้ว่ากระแสบุพเพสันนิวาสทำให้ช่อง 3 ได้เรทติ้งมหาศาล จนส่งผลให้ทีมนักแสดงก็ดังปังเป็นพลุแตก รับงานไม่หวาดไม่ไหว พาแบรนด์ต่างๆ ที่ตนเป็นพรีเซ็นเตอร์อยู่พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย นอกจากจะทำให้ทำให้ช่อง 3 กลับขึ้นมาผงาดขึ้นอีกครั้งแล้ว ยังส่งผลให้ Mello แพลทฟอร์มออนไลน์ เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

สุธิดา มาไลยพันธ์ หัวหน้าหน่วยงานธุรกิจดิจิทัล บริษัท บีอีซีไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า แม้ว่า Mello จะมีมาสักพักในรูปแบบของเว็บไซด์ แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักในมุมของผู้บริโภค เพราะแพลตฟอร์มที่คนทั่วไปรู้จักและมักจะเสพสื่อย้อนหลังก็คงจะหนีไม่พ้นแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง YouTube และ Line TV แต่ด้วยกระแสบุพเพสันนิวาสที่กระตุ้นให้คนอยากดูมากๆ Mello จึงต้องรองรับในจุดนี้โดยจะปล่อยละครหลังเที่ยงคืนของวันนั้นเลย

โดยไม่หวั่นว่าจะเป็นการดึงเรทติ้งจากรายการสดแต่อย่างใด เพราะสมัยนี้ออฟไลน์กับออนไลน์แทบจะเป็นเรื่องเดียวกันอยู่แล้ว ฉะนั้นหันมาเน้นทำตลาดดิจิทัลด้านออนไลน์เอ็นเตอร์เทนเมนท์เซิร์ฟลูกค้าไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ถนัดใช้มือถือมากกว่า

เมื่อเห็นว่า ได้กระแสจากบุพเพสันนิวาสมาเป็นตัวจุดพลุให้ Mello เป็นที่รู้จัก ทำนองที่ว่า “ตีเหล็กต้องตีกำลังร้อน” ทีมงานจึงรีบส่งรายการ ลงผังออนไลน์ เช่น รายการอึดตะปือนัง เจ้าค่ะ รายการทำอาหารไทยและการใช้ชีวิตแบบแม่การะเกด โดยจัดทำเพียงสามวัน 10 ตอน  โดยหวังว่ากระแสความนิยมจะส่งไปถึง ซีรี่ส์วัยรุ่น ที่ทำขึ้นเพื่อตอบรับกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น ภายใต้แนวคิดที่ว่า “Slide of life for new generation”

ช่อง 3 เองก็ฝากความหวังกับ mello ว่าจะเป็นแพลทฟอร์มที่รองรับคนดูรุ่นใหม่ ที่นิยมดูผ่านออนไลน์มากกว่าทีวี ไม่ให้หนีไปไหน

ดึงลูกค้ากลับจาก Youtube มาดูบนแพลตฟอร์มที่ช่องสร้างเอง

จากเดิมการรีรันละคร หรือรายการต่างๆ ของช่อง 3 ผู้ชมมักคุ้นตากันทาง Youtube เสียส่วนใหญ่ กับแพลตฟอร์มที่ช่วงหลังก็มาแรงไม่แพ้กันอย่าง Line TV ที่กลายเป็นพันธมิตรกับช่อง 3 ไปแล้ว

จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้า Mello แจ้งเกิดขนาดนี้ยังจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มอีกไหม ซึ่ง Mello ชี้แจ้งว่า ต่อให้เติบโตแค่ไหน แต่ผู้ชมก็ยังคุ้นกับแพลตฟอร์มเดิมๆ มากกว่า ทำให้เป็นไปได้ว่าในอนาคตก็จะยังคงมีการทำรายการร่วมกัน โดยทางช่องจะเน้นเป็นผู้ขายคอนเทนต์ และมีแผนที่จะทำคอนเทนต์ไปขายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ในระดับสากลเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ช่อง 3 ได้จับมือกับ Tencent ยักษ์ใหญ่วงการไอทีของจีน ส่งคอนเท้นท์ละครไปตีตลาดจีนแล้ว

สุธิดา กล่าวว่า จุดยืนของ Mello ตอนนี้คือเรื่องของคอนเทนต์ ความบันเทิง และแพลตฟอร์มที่ดี ซึ่งช่องจะใช้เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคโดยมีคาดหวังการเติบโตเพิ่ม5 เท่า จากปัจจุบันที่ยอดวิวต่อวันสูงสุดอยู่ที่ประมาณ1.5 ล้านคนต่อวัน

ข้อได้เปรียบของ Mello อย่างแรกที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการที่เป็นแพลตฟอร์มเจ้าแรกในการรีรันบุพเพสันนิวาสก่อนใคร ส่งผลต่อยอดขายโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่มาก แต่ในเรื่องอื่นๆ ไม่สามารถเทียบได้เพราะแต่ละแพลตฟอร์มย่อมมีคอนเทนต์ที่แตกต่าง

แต่ถึงกระนั้น ช่อง 3 ก็มีความคาดหวังว่าในอนาคตจะสามารถเติบโตได้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำงานที่จะสร้างคอนเทนต์คุณภาพที่ดีเป็นที่ชื่นชอบมากขึ้น

อีกทั้งภายใต้ชื่อช่อง 3 ก็สามารถรับประกันได้ส่วนหนึ่ง และมีแรงหนุนจากชื่อเสียงของ Mello ที่กำลังจะปล่อยคอนเทนต์ดีๆ มากมายมาตีตลาดทางดิจิทัลอีกทาง เรียกได้ว่า ตอนนี้ช่อง 3 กำลังใช้จังหวะช่วงเรทติ้งตีกลับสร้างโอกาสดี ๆ ให้กับตัวเอง และแสดงชัดว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาโค่นลงได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมาคอยลุ้นกันว่าหลังกระแสบุพเพสันนิวาสจบแล้ว Mello จะไปต่ออย่างไร จะมีเรื่องไหนมาช่วยดึงกระแสอีกไหม เพราะ ณ ตอนนี้สิ่งที่ช่อง 3 ฉวยโอกาสได้มากที่สุด ก็คือเตรียมการปล่อยอีก 3 ตอนพิเศษของเรื่องบุพเพสันนิวาสออกมา เพื่อตอกย้ำความปังของบุพเพสันนิวาส

แต่งานเลี้ยงก็ต้องมีเลิกรา และงานเลี้ยงต่อมาก็จ่อคิวแล้ว ก็ลุ้นกันต่อไปว่า ละครเรื่องต่อไป หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ละครฟอร์มยักษ์อีกเรื่องที่ช่อง 3 หวังว่าจะได้เรทติ้งอย่างต่อเนื่องนั้น จะมาทำสถิติโค่นแม่การะเกดแห่งบุพเพสันนิวาสหรือสร้างกระแสความนิยมในระดับเดียวกันได้หรือไม่.