แม้ว่า Procter & Gamble เจ้าพ่อวงการสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่จะรายงานรายได้ประจำไตรมาสที่สวยงามกว่าที่คาดการณ์ แถมกำไรตลอดไตรมาสยังเป็นไปตามคาด แต่หุ้นของ P&G กลับลดลง ท่ามกลางการประกาศอย่างเป็นทางการ ว่า P&G ตกลงซื้อธุรกิจด้านสุขภาพสำหรับผู้บริโภคของบริษัทสัญชาติเยอรมนี Merck ทำให้ P&G มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะรุกธุรกิจวิตามินอาหารเสริมหลังจากเทเงินประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับดีลนี้
P&G ชี้ว่ากำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะแรงหนุนสำคัญจากยอดขายแข็งแกร่งในกลุ่มสินค้าความงาม สินค้าที่เกี่ยวกับผ้า และสินค้าเพื่อการดูแลรักษาบ้าน อย่างไรก็ตาม รายงานรายได้สวยหรูไม่ช่วยล้างความกังวลในสายตานักลงทุน เนื่องจาก P&G กำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจหลักของบริษัท
เหตุผลหลักที่ทำให้หุ้นยักษ์ใหญ่ P&G ร่วงลง 2.86% หลังประกาศผลประกอบการ คือ Gillette แบรนด์สินค้าเพื่อการโกนหนวดของ P&G ได้รับผลกระทบเต็มที่จากการแข่งขันที่ร้อนแรง ส่งให้มีการแข่งขันราคาจนทำให้กำไรหล่นฮวบ
*** ยอดขายดูดีแต่ยังน่าเป็นห่วง
ยอดขายสุทธิของ P&G ซึ่งมีดีกรีเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลก (คำนวณจากมูลค่าตลาด) เพิ่มขึ้น 4.3% คิดเป็น 1,628 ล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการของนักวิเคราะห์ ที่ประเมินไว้ 1,621 ล้านดอลลาร์ ตามการสำรวจของ Thomson Reuters
หากมองที่ Organic Sales หรือยอดขายที่แท้จริงซึ่งไม่ได้คำนวณผลกระทบจากส่วนต่างของสกุลเงินและการซื้อกิจการ ปรากฏว่า Organic Sales ของ P&G ลดลง 1% เนื่องจากแรงกดดันด้านราคา ประเด็นนี้เองที่เห็นชัดในธุรกิจ Gillette ซึ่งยังคงถูกกดดันอย่างหนังในตลาดสหรัฐฯ ขณะนี้
แต่โชคยังดี P&G ได้ SK-II มาช่วยชีวิต ยอดขายที่ P&G ทำได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงาม ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชั้นนำระดับพรีเมียม SK-II นั้นมี Organic Sales เพิ่มขึ้นถึง 5%
บริษัทวิจัย Stifel วิเคราะห์ว่าจากภาพรวมของผลประกอบการ P&G ไตรมาสล่าสุด จะพบว่า P&G เริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายกลุ่มสินค้า ทำให้ผลประกอบการน่าผิดหวังและน่าวิตก และกลายเป็นว่าแบรนด์ความงามอย่าง SK-II เท่านั้นที่เติบโตจริงจัง
รายได้สุทธิของ P&G ร่วงลงเหลือ 2.51 พันล้านดอลลาร์ หรือ 95 เซนต์ต่อหุ้น (ไตรมาสดังกล่าวสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.) ถือว่าน้อยกว่า 2.52 พันล้านดอลลาร์ หรือ 93 เซนต์ต่อหุ้นที่ P&G ทำได้เมื่อปีที่แล้ว
*** จับตา P&G กลายเป็นบริษัทวิตามิน
การประกาศผลประกอบการเหล่านี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ P&G ประกาศตกลงซื้อธุรกิจด้านสุขภาพสำหรับผู้บริโภคของบริษัท Merck ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่เพราะดีลนี้มีมูลค่ากว่า 3.4 พันล้านยูโร หรือ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การตัดสินใจนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ P&G มีนักลงทุนที่เป็นนักเคลื่อนไหวชื่อดังอย่าง Nelson Peltz มาเข้าร่วมนั่งเก้าอี้บอร์ดบริหารบริษัทในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวว่ากรรมการบริหาร P&G มีแนวคิดขัดแย้งรุนแรงเรื่องแนวทางจัดการโครงสร้างบริษัท ซึ่ง Peltz มองว่ามีความซับซ้อนเกินไป ทำให้ P&G สร้างนวัตกรรมได้ช้าเกินไป และยังมีแนวทางการเงินอนุรักษ์นิยมมากเกินไป
ข้อตกลงที่ P&G จะเข้าซื้อธุรกิจส่วน Consumer Health ของ Merck จะทำให้แบรนด์อย่าง Seven Seas ถูกบริหารใต้ปีก P&G ขยายฐานจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลสุขภาพ เช่น Vicks, Prilosec OTC และ Pepto-Bismol ที่ P&G มีอยู่ในมือ
นอกจากนี้ ดีลยักษ์ยังทำให้ P&G มีโอกาสสดใหม่ในตลาดละตินอเมริกาและเอเชีย คาดว่า P&G จะหายใจได้คล่องคอขึ้นในวันที่ตลาดค้าปลีกอเมริกันแข่งดุสุดขีด
ซีอีโอ P&G อย่าง David Taylor กล่าวยอมรับในแถลงการณ์ว่า P&G มีธุรกิจขนาดใหญ่ในตลาดที่ยากลำบากหลายแห่ง ระบบนิเวศเศรษฐกิจที่ P&G ดำเนินธุรกิจทั่วโลกกำลังถูกทำลายและเปลี่ยนไป P&G จึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เร็วขึ้น พร้อมกับบอกว่าผลประกอบการที่ยังเติบโต ถือเป็นชัยชนะของ P&G ที่สามารถบริหารค่าใช้จ่ายและเงินสดได้ดี แถมยังทำให้องค์กรและวัฒนธรรมเข้มแข็งขึ้นด้วย
P&G ทิ้งท้ายว่าปีนี้ บริษัทจะรักษาทิศทางการเติบโตของ Organic Sales ให้ได้ คาดว่า Organic Sales จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 2 ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2018 แม้จะยอมรับว่าอาจลดลงในช่วงปลายปี.