จัดเป็นฟรีทีวีผ่านดาวเทียมแห่งเดียวที่กล้าประกาศตัวเป็น “สื่อเลือกข้าง” มาตั้งแต่ปี 2549 เมื่อครั้งร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ต่อต้านระบอบทักษิณที่กำลังสยายอาณาจักรอย่างหนักในเวลานั้น แม้ม็อบพันธมิตรฯ จะยุติลง ASTV ก็ยังครองใจคนดู แถมบางช่วงบางรายการเรตติ้งยังแซงหน้าฟรีทีวี มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางการด้านการเมืองที่ทุกฝ่ายล้วนจับตามองอย่างใกล้ชิดมากที่สุด
ต้องยอมรับว่าบทบาทของ ASTV เข้มข้นขึ้นมากในฐานะสื่อเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะเมื่อครั้งต้องขับไล่รัฐบาลนอมินี “สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์” เวลานั้น ASTV เป็นสื่อเดียวที่ถ่ายทอดสดทั้ง 24 ชั่วโมง ตลอดการชุมชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 193 วัน เป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่สามารถยืนหยัดท่ามกลางกระแสกดดันทางการเมืองที่ถาโถมเข้ามาหลายระลอกอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าวันนี้การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จะยุติลง พร้อมๆ กับการเป็นเรียลลิตี้ทีวีถ่ายทอดจากเวทีพันธมิตรฯ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็น “จุดขาย” สำคัญที่ดึงคนดูให้ติดตามรายการจะสิ้นสุดลง แต่ ASTV ยังคงความเป็นสถานทีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เพียงช่องเดียวที่ติดอยู่ในอันดับแรก และคนจดจำได้มากที่สุด บางครั้งบางรายการมีเรตติ้งสูงกว่าฟรีทีวีบางช่องด้วยซ้ำ
“ทีวีของประชาชน” คือคอนเซ็ปต์และสโลแกนที่บอกถึง Positioning ใหม่ของ ASTV ที่ไม่เพียงต้องการเป็นสถานีข่าวแบรนด์นี้เป็นสื่อตัวแทนของมวลชนและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อย่างเป็นทางการแล้ว ยังต้องการใกล้ชิดกับประชาชน
ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ ทำให้มีการปรับผังรายการ เน้นรูปแบบความหลากหลาย ทั้งข้อมูลข่าวสาร บทวิเคราะห์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ประเภทการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมไปถึงการเป็นเวทีที่ให้คนดูได้มีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นผ่าน SMS แนะนำติชม เสนอไอเดียผ่านโทรศัพท์ และจดหมาย
ประเมนทร์ ภักดิ์วาปี ผู้อำนวยการสถานี ASTV เล่าว่า หลังจากการต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างต่อเนื่อง กระทั่งยุติการชุมชุมครั้งยาวนานที่สุด ทำให้ ASTV มวลชน และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแยกกันไม่ออก เพราะความผูกพันที่สะสมอย่างต่อเนื่องมาหลายปี เป็นจุดร่วมที่ทำให้เอเอสทีวีมีความแตกต่างไปจากทีวีช่องอื่น
เพื่อความต่อเนื่อง “อารมณ์ม็อบ” ที่ยังครุกรุ่นอยู่มาก จึงได้มีการปรับรูปแบบรายการ โดยภาพรวมรายการยังอิงกับรูปแบบเดิมเมื่อครั้งยังชุมนุมอยู่ ช่วงเช้ายังเป็นรายการเล่าข่าวยอดฮิต ขวัญใจสาวกพันธมิตรพันธุ์แท้ “ยามเช้าริมเจ้าพระยา” ที่ดำเนินรายการโดยคู่หู ดูโอแห่งเอเอสทีวี “พี่ปอง-อัญชะลี ไพรีรักษ์ และน้องเก๋-กมลพร วรกุล” เป็นพิธิกรคู่ นำส่วนข่าวเศรษฐกิจ เป็นของอดีตนักร้องหนุ่มหัวใจพันธมิตรฯ “สุชาติ ชวางกูร” เป็นพิธีกรร่วม นำเสนอตั้งแต่เวลา 07.15-09.00 น.จันทร์-ศุกร์ทุกวัน
เนื้อหาในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมทั้งข่าวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ข่าวชุมชน “เวทีชาวบ้านพันธมิตร” รายการ “จอเหลือง” และรายการ “ ออดิชั่น” ที่มีโปรดิวเซอร์รายการ ขวัญใจแม่ยกพันธมิตร “ตั๊ว-ศรัณยู วงศ์กระจ่าง” เป็นหัวหน้าทีม และรายการบันเทิงสาระ ใน “ คุยข่าว เล่าเพลง”
เมื่อไม่นานมานี้ เอสเอสทีวียังได้เติมเต็มด้วยรายการวิเคราะห์เจาะลึก ก่อนรายการยามเช้าฯ ระหว่าง 06.00-07.00 น. จันทร์-ศุกร์ เช่นกันด้วย “Good Morning Thailand” โดยมี “สนธิ ลิ้มทองกุล” หนึ่งแกนนำพันธมิตรฯ ดำเนินรายการตลอด 1 ชั่วโมง ยังคงเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดคนดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การเมืองที่กำลังแหลมคมเข้าสู่วิกฤตและเผชิญกับการท้าทายอำนาจรัฐ สไตล์การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถึงแก่น เปิดโปง และวิจารณ์การเมือง รัฐบาล ตำรวจ ทหาร และผู้เกี่ยวข้องหลายคนอย่างถึงพริกถึงขิง สั่นสะเทือนวงการไม่น้อย อีกทั้งยังทำให้รายการฮิตติดชาร์ต แซงหน้าฟรีทีวี แม้ออกอากาศได้เพียงไม่เพียงเดือนเดียว
“ต่อเนื่องมาจากการที่เอเอสทีวีได้จัดเวทีจำลองคล้ายการชุมนุมไว้ที่หน้าออฟฟิศ บ้านเจ้าพระยา ทุกวันศุกร์ช่วงค่ำ เพื่อให้ พธม. ได้มีโอกาสเข้าร่วมชมการแสดงของศิลปินพันธมิตรฯ ใกล้ชิดแกนนำ พธม.รุ่น 1 และรุ่น 2 แต่ช่วงหลังสถานที่ไม่พอกับคนที่มาชม เลยขยายมาจัดเป็นรายการช่วงเช้า”
เมื่อตอบโจทย์คนดูส่วนมาก ด้วยเนื้อหาที่หลากหลายและเข้มข้น ให้คนดูมีส่วนร่วม ผลตอบรับจากคนดูนั้นจึงแรงเกินคาด เมื่อผลสำรวจผู้ชมเคเบิลทีวีไทยจำนวน 28 ช่อง เดือนมีนาคม 2552 (เปรียบเทียบเดือนมกราคม 2552) จัดทำโดย AGB Nielsen ปรากฏว่าช่อง NEWS 1 ครองเรตติ้งผู้ชมสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งติดต่อกัน 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.2552) รวมทั้งยังติด 1 ใน 10 ของช่องทีวีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มรายการข่าวและสนทนาข่าว 24 ชั่วโมง
ขณะเดียวกันยังครองอันดับ 1 ของการสำรวจประเภทผู้ชมทั้ง อายุ 4 ปี อายุ 15 ปี 20 ปี 25 ปี ทั้งเพศชายและหญิง จากการสำรวจเฉพาะเคเบิลทีวีไทย 28 ช่องที่เข้าร่วมสำรวจจำนวนผู้ชมของบริษัทสำรวจแห่งเดียวกัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา ASTV ได้เปิดประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ฯเป็นครั้งแรก โดยเปิดให้ “ประชาชนเป็นเจ้าของ ASTV” พบว่า มีกลุ่มคนหลากหลายตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ เข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง นับได้ว่าเป็นโมเดลใหม่ที่ให้ “ประชาชน” เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าแผนงานในอนาคต ข่าวสารและสารคดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงจะเพิ่มเติมเข้ามาพร้อมกับมุ่งเน้นการความรู้แก่ชาวชนบท และกลุ่มเกษตรกรมากขึ้น รวมถึงสัญญาณจากASTV ก็จะถูกถ่ายทอดไปยังวิทยุชุมชนในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ความหมายของการการเป็นทีวีของมวลมหาประชาชนและคนเสื้อเหลืองอย่างแท้จริง!!!



