เมเจอร์ ชูกลยุทธ์ Movie on Demand เติมช่องว่างหลังหนังออกโรง ขยายพื้นที่ดูหนังเพิ่ม

เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหม?… หนังเรื่องที่อยากดูมีฉายแค่ไม่กี่สาขา ช่วงเวลาที่ฉายก็ไม่สะดวกไปดู เลือกไปเลือกมา รู้ตัวอีกทีหนังออกโรงไปแล้ว!!

สำหรับคนรักหนัง นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าเสียดายที่สุด เพราะกว่าจะได้ดูบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่างวิดีโอสตรีมมิ่ง สายการบิน และแผ่นดีวีดี ก็ต้องรออีกกว่า 3 เดือน แถมยังไม่ได้อรรถรสมากเท่าการชมผ่านจอใหญ่ มีที่นั่งสบาย ๆ พร้อมระบบเสียงดี ๆ เหมือนในโรงภาพยนตร์อีกด้วย

เป็น “ช่องว่าง” ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ นำมาพัฒนาเป็นบริการ “Movie on Demand” เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกชมหนังเรื่องที่พลาด ในเวลาและสาขาที่สะดวก ผ่านเว็บไซต์ของเมเจอร์

บริการดังกล่าวไม่ได้คิดขึ้นมาลอย ๆ แต่มาจากเสียงคอมเพลนของลูกค้าจริง และได้ทดลองทำตลาดเพื่อหาโซลูชั่นที่ลงตัวถึง 8 เดือน ด้วยการโปรโมตผ่านช่องทางเฟซบุ๊กของเมเจอร์เอง

“เราได้ทำ Trial บริการนี้ถึง 8 เดือน ด้วยการทดลองฉายสัปดาห์ละ 1 รอบ ให้ลูกค้าโหวตหนังเรื่องที่อยากดู เลือกสาขา และรอบที่ต้องการได้ผ่านหน้าเว็บของเรา เมื่อครบ 100 โหวตเราจะเปิดฉาย และพบว่าเราสามารถสร้างยอดขายบัตรจากบริการนี้ได้จริง” นรุตม์ เจียรสนอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว

บริการ Movie on Demand จะเปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ในช่วงแรกจะเปิดให้ลูกค้าสามารถโหวตหนัง เลือกสาขา วันและเวลาที่ต้องการได้ผ่านทางเว็บไซต์ของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โดยมีภาพยนตร์ให้เลือกโหวต 5 ประเภท คือ หนังรางวัล, หนังแนะนำ, หนังฮอลลีวู้ด, หนังไทย, หนังเอเชีย ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน เบื้องต้นเปิดให้ชมได้ 24 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 17 สาขา และต่างจังหวัด 7 สาขา หากเฟสแรกมีการตอบรับดีจะขยายให้บริการทุกสาขา

ช่วงที่สองจะเปิดให้ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นของเมเจอร์ได้ในเดือนตุลาคม พร้อมกับฟีเจอร์พิเศษเพิ่มเติม และปลายปีจะเปิดช่วงที่สามโดยนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อนำเสนอบริการที่ลูกค้าต้องการได้ในอนาคต

“สำหรับราคาค่าตั๋ว Movie on Demand จะเป็นราคาที่ถูกที่สุดของเมเจอร์แต่ละสาขา คือตั้งแต่ 150 – 220 บาท ในช่วง 6 เดือนแรกตั้งเป้ายอดขายที่ 1 ล้านใบ”

อย่างไรก็ตาม Movie on Demand ไม่ได้เพียงแค่เติมเต็มช่องว่างความต้องการลูกค้าหลังจากหนังหมดโปรแกรมฉายปกติแล้วเท่านั้น แต่ยังคิดต่อยอดไปถึงการนำภาพยนตร์ที่ไม่เคยฉายในโรง เช่น หนัง Bollywood หนังเก่า หนังที่หาชมยาก ซึ่งเมเจอร์มองว่าจุดนี้สามารถแข่งขันกับ Netflix ได้ ไปจนถึงการเช่าเหมาโรงเพื่อจัดอีเวนต์ต่าง ๆ เช่น ฉายหนังโรแมนติกเพื่อขอแต่งงาน หรือหากองค์กรไหนสนใจให้ฉายหนังที่ออกจากโรงไปแล้วก็สามารถใช้บริการนี้ได้เช่นกัน

ปัจจุบัน เมเจอร์มีโปรแกรมฉายภาพยนตร์ปีละกว่า 200 เรื่อง ซึ่งบริการ Movie on Demand อาจช่วยเพิ่มยอดฉายได้ถึง 400 เรื่องต่อปี และตั้งเป้าว่าปี 61 นี้จะสามารถขายตั๋วเพิ่มได้ถึง 34 ล้านใบ โดยปีที่ผ่านมาสามารถขายได้ 32 ล้านใบ

วันนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป มีสาขารวมทั้งสิ้น 141 สาขา 733 โรง 166,444 ที่นั่ง เป็นสาขาในประเทศไทย 135 สาขา 705 โรง 159,257 ที่นั่ง (แบ่งเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล 41 สาขา 333 โรง 75,522 ที่นั่ง ต่างจังหวัด 94 สาขา 367 โรง 83,735 ที่นั่ง) และต่างประเทศ 6 สาขา 33 โรง 7,187 ที่นั่ง (แบ่งเป็นประเทศกัมพูชา 4 สาขา 24 โรง, ประเทศลาว 2 สาขา 9 โรง).

สาขาที่คนนิยมเลือกใช้บริการ Movie on Demand มากที่สุด

  • สยาม พารากอน
  • เอ็มควอเทียร์
  • รัชโยธิน