ฐานะกับความเป็นมนุษย์ในอนาคต

ช่วงหลัง ๆ ผมได้ยินคนพูดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ นะครับว่า เกิดมาไม่สวยไม่หล่อไม่เป็นไร ถ้ามีเงินทำศัลยกรรมเดี๋ยวก็สวยก็หล่อได้ ก็จริงนะครับ เพราะหลายคนรอบข้างผมสวยขึ้น หล่อขึ้นอย่างผิดหูผิดตา คงไม่มีใครเถียงได้นะครับว่าศัลยกรรมเป็นที่แพร่หลายมาก และสังคมเองก็ให้การยอมรับมากขึ้นเช่นกัน ในประเทศเกาหลีใต้พ่อแม่ถึงขนาดเก็บเงินก้อนเพื่อให้ลูกสาวสามารถนำเงินตรงนี้ไปศัลยกรรมให้ตัวเองดูดีขึ้น แต่อย่าว่าแต่เกาหลีเลยครับ ในไทยเราเองจำนวนเด็กสาวที่มีการทำศัลยกรรมก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน และแน่นอนครับว่าส่วนใหญ่ก็คงเป็นพ่อแม่นี่แหละครับที่ออกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้ 

ก็ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากเลือกให้ตัวเองเกิดมาหน้าตาไม่ดี จริงมั้ยครับ? ถ้าเรามองลึกลงไปเราจะพบว่า จริง ๆ แล้วมนุษย์เราไม่ใช่แค่ต้องการเลือกหรือคัดสรรเฉพาะรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่เราต้องการมากกว่านั้นมาโดยตลอด ยกตัวอย่างนะครับ ตั้งแต่ก่อนที่เราจะลืมตาดูโลกแพทย์จะทำการตรวจว่าทารกเป็นอย่างไร มีโรคอะไรมั้ย อวัยวะครบมั้ย มีความเสี่ยงอะไรหนัก ๆ หรือป่าว เพื่อให้เรา ๆ ที่เกิดมามีองค์ประกอบต่าง ๆ สมบูรณ์มากที่สุด ในบางกรณีหากมีความเสี่ยงที่มากคุณหมออาจแนะนำให้มีการนำเด็กออกด้วยซ้ำ อย่างในฝรั่งยุโรป 92% ของทารกที่ถูกพบว่าเป็นดาวน์ซินโดรมจะถูกเลือกที่จะให้ยุติการตั้งครรภ์นะครับ ดังนั้นสามารถพูดได้ว่าเราแทบทุกคนในปัจจุบันได้ถูกคัดสรรมาโดยระดับหนึ่งแล้วทั้งสิ้น

การที่เราสามารถคัดสรรพันธุกรรมของตัวเองได้ แปลว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวในโลกที่กำลังสามารถทลายกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) ได้ ธรรมชาติจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่เป็นตัวกำหนดว่ามนุษย์เราจะมีวิวัฒนาการอย่างไร เราเองต่างหากที่จะเป็นคนกำหนดว่าเราจะมีวิวัฒนาการ หรือกระทั่งมีฟีเจอร์อะไรบ้างในอนาคต คงจะดีกว่า ถ้าเราสามารถสวย-หล่อตั้งแต่กำเนิด ไม่จำเป็นต้องไปผ่านมีดหมอให้เจ็บตัวและเสียเวลาพักฟื้นในโรงพยาบาล หรือเราสามารถเกิดมาแข็งแรง ไม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคฮันติงตัน ไม่เป็นตาบอดสี ไม่มีความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ ไม่ต้องคอยพ่นยาแก้หอบ หรือคอยฉีดอินซูลินไปตลอดชีวิต

ก่อนหน้านี้การตัดแต่งพันธุกรรมยังทำได้ยาก มีราคาแพง และใช้เวลานาน กระทั่งมีการคิดค้นเทคนิคที่ชื่อว่า ครีสเปอร์ ขึ้นในปี 2012 (CRISPR – Clustered Regularly Interspaced Short Palindromic Repeats) (ขอไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับครีสเปอร์เยอะนะครับ เพราะกลัวหลายท่านจะงงว่าอ่าน Positioning หรือนิตยสารวิทยาศาสตร์อยู่ ^^” ) ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ครีสเปอร์คือเทคนิคที่สามารถทำให้การตัดแต่งพันธุกรรมมีความแม่นยำรวดเร็ว ง่าย และมีราคาถูกมากขึ้น เรียกได้ว่าครีสเปอร์เป็นเทคนิคที่เปิดประตูและเร่งความเร็วในการพัฒนาการตกแต่งพันธุกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันครีสเปอร์ยังไม่ใช่เทคนิคที่สมบูรณ์แต่ก็ถูกพัฒนาขึ้นทุกวัน เมื่อครีสเปอร์หรือเทคนิคตัดแต่งพันธุกรรมใหม่ ๆ ในอนาตถูกพัฒนาไปถึงจุดหนึ่ง ความเป็นไปได้คือมนุษย์เราจะไม่เพียงแค่ใช้มันในการแก้ไขพันธุกรรมเพื่อรักษาหรือป้องกันโรค หากแต่ยังจะใช้มันในการทำให้ตัวเองได้มาซึ่งองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ตัวเองต้องการ อาทิ รูปร่างหน้าตา ความแข็งแรง ความฉลาด ช่วงอายุ หรือกระทั่งฟีเจอร์ที่อาจฟังดูเหมือนมาจากภาพยนตร์อย่าง มองได้ไกลขึ้น ได้ยินได้กว้างขึ้น หรือกระทั่งเรืองแสงในทื่มืด

แน่นอนครับว่าคงไม่มีทางที่บริการการตัดแต่งหรือแก้ไขพันธุกรรมเหล่านี้จะฟรี ปัจจุบันโลกเราหมุนตามเศรษฐกิจทุนนิยม แปลว่าหากอิงตามหลักอุปสงค์-อุปทานฟีเจอร์หรือการตัดแต่งแก้ไขแบบไหนที่ยิ่งมีความต้องการมาก ราคาของสิ่งนั้นก็ยิ่งจะมากตาม แม้ว่าคนรวยในปัจจุบันอาจได้ใส่เสื้อผ้า ใช้ของราคาแพง เข้าถึงสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าคนจน แต่ความเป็นคนเช่นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้มีการแบ่งแยกตามฐานะ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตคนรวยไม่เพียงสามารถเกิดมาพร้อมกับทรัพย์สินที่มากกว่าที่ทำให้มีโอกาสทางสังคม และความสำเร็จมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว คนรวยในอนาคตยังสามารถที่จะเลือกให้ตัวเองเกิดมา แข็งแรงกว่า หน้าตาดีกว่า รูปร่างสูงใหญ่กว่า ชาญฉลาดมากกว่า มีความสามารถในด้านต่าง ๆ มากกว่า รวมไปถึงอายุขัยที่ยืนนานมากกว่าด้วย หากเป็นตามนี้แล้วมันจะเป็นการยากมากสำหรับคนจนที่จะก้าวข้ามขั้นบันไดทางสังคมได้ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ไม่เหมือนในปัจจุบันที่หากมีความมานะพยายามและเฉลียวฉลาดเพียงพอก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้

นอกจากเหนือจากความสำเร็จแล้วคนรวยยังสามารถเลือกให้ตัวเองแข็งแรง หรือมีทางเลือกในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากกว่า กระทั่งมีอายุที่ยืนยาวกว่า แปลว่านอกจากโดยเฉลี่ยคนจนจะเกิดมาเฉลียวฉลาดน้อยกว่าแล้วยังเกิดมาอ่อนแอกว่าและมีอายุขัยสั้นกว่าด้วย ตั้งแต่อดีตมนุษย์มักสรรหาเหตุผลว่าทำไมสายพันธ์ุตัวเองถึงสูงส่งกว่าคนอื่น อย่างสมัยฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ถือว่าสายพันธุ์อารยันสูงส่งกว่าชนชาติอื่น แต่จริง ๆ แล้วถ้ามองด้วยหลักพันธุกรรมจะสายพันธ์ุไหนก็ไม่ได้แตกต่างกัน ที่บอกว่าสูงส่งกว่าเป็นเพียงไอเดียหรือความเชื่อมากกว่า หากแต่ในอนาคตคงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าการสร้างหรือการมีสายพันธ์ุที่เหนือกว่าสายพันธุ์อื่นจนถึงระดับพันธุกรรมไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หากไม่มีการคิดค้นระบอบการเมืองหรือหลักเศรษฐกิจใหม่ ๆ ขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงมากว่าฐานะความเป็นมนุษย์ของเราอาจถูกกำหนดจากฐานะการเงิน หากเป็นตามนี้จริงก็คงเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น้อยเลยนะครับ

เรื่องที่ผมเล่าอาจจะดูไกลตัวพวกเราในปัจจุบันไปพอสมควร แต่พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ อยากลองแชร์ลองเล่าและลองถามความคิดเห็นผู้อ่านทุกท่านดู ส่วนตัว ผมรู้สึกว่าคนเราควรสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาทางการแพทย์ การศึกษา และโอกาสทางสังคมในระยะที่ไม่ห่างกันเกินไป (ไม่อยากพูดว่าเท่าเทียมเพราะคงเป็นไปได้ยากมาก) หากอนาคตเป็นไปตามที่ผมเขียนจริง ๆ ก็คงเป็นอนาคตที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ทุกท่านล่ะครับ คิดกันว่ายังไรบ้างครับ?