กมลพร วรกุล พิธีกรคู่ดูโอ

ด้วยบุคลิกนุ่มนวล ประนีประนอม และเป็นนักฟังชั้นเยี่ยม จึงทำให้น้องเก๋-กมลพร วรกุล เป็นพิธีกรคู่ดูโอกับพิธีสาวสุดฮอตพี่ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก ได้อย่างกลมกลืน บทบาทและการทำหน้าที่พิธีกรของเก๋จึงกลายขวัญใจเหล่าผู้ชุมนุมและพันธมิตรฯ นับตั้งแต่การชุมชุม 193 วันปีที่ผ่านมา และบทบาทนี้ยังไม่หนีไปไหน

ดีกรีความฮอตของเธอยังแรงไม่ตก เพียงแต่เสียงสะท้อนทั้งจากคนดูและเพื่อนร่วมอาชีพมีทั้งบวกและลบ หรือมีทั้งคนรักและคนชังผสมปะปนกันไป แต่กมลพรถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้เธอได้เรียนรู้และปรับตัวทำหน้าที่ให้ดียิ่งๆ ขึ้น

“ส่วนใหญ่เขียนลงเว็บบอร์ด อะไรที่ไม่แรงเท่าอยากดัง พูดจาไร้สาระ พูดจาไม่ฉลาด ซึ่งอันนี้เก๋เซ้นซิทีฟมาก และตกใจมากถึงขนาดเป๋ไปเลย และมานั่งคิดว่าตัวเองอาจไม่เหมาะกับพี่เค้า เพราะเก๋จะเป็นสไตล์ที่ชอบนั่งฟัง เมื่อพูดจบแล้วค่อยถาม แต่จะไม่แทรกขึ้นระหว่างทาง เพราะการฟังทำให้เราได้เรียนรู้และเก็บข้อมูลหลายอย่าง

สำหรับเก๋ก็มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะพี่ปองเป็นคนทำงานที่ไม่เคยหยุดนิ่ง สอนเราให้มองโลกในมุมมองใหม่ เปรียบเสมือนครูชั้น ทำให้ต้องแอคทีฟ เทียบได้กับการวิ่งร้อยเมตรที่พี่วิ่งตลอดไม่เคยหยุดนิ่ง ซึ่งเราต้องวิ่งหมื่นเมตร เพื่อให้ทันสูสีกัน มันทำให้เก๋ได้เรียนรู้และขยันวิ่ง เพื่อก้าวไปให้ทันมุกพี่เค้า”

กมลพร เล่าว่า เพราะภาพลักษณ์พิธีกรที่ดูนุ่มนวล ประนีประนอม ก็มีบรรดาทีวีช่องอื่นๆ มาชักชวนไปทำงานเหมือนกัน แต่เธอก็ต้องปฏิเสธไป เพราะการเดินทางในอาชีพนี้ของเธอนั้น นับว่ามาไกลเกินกว่าที่จะเลือกไป เพราะเพื่อชื่อเสียงและรายได้จำนวนมาก แต่หากต้องแลกด้วยจิตวิญญาณของนักสื่อมวลชน ซึ่งเธอบอกว่า เธอเป็นสื่อเลือกข้างที่ทำหน้าที่แทนประชาชน และมีความละอายที่จะย้ายค่ายไปมาเหมือนนักฟุตบอล

“มีคนมาชวนไปทำรายการหลายช่อง เพราะภาพลักษณ์เก๋เองก็ค่อนข้างซอฟต์ดี น่าจะเป็นประโยชน์ แต่เราทำไม่ได้ที่ต้องลาออกไปอยู่สื่อค่ายอื่นเพื่อรับเงินเดือนที่มากกว่า เพราะอายคนที่จ่ายเงินเรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ดูแลเรามาตลอด 193 วัน จนถึงวันนี้ และก็ไม่อยากทำตัวแบบนักฟุตบอล ย้ายค่าย ซื้อตัว เพราะหากเก๋ต้องยื่นใบลาออกกับคนที่จ่ายเงินเดือน ไม่ใช่คุณสนธินะคะ และรู้ว่าจะต้องเจอแรงบีบจากองค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างแน่นอน”

เก๋ ยังบอกอีกว่าบทเรียนอันแสนล้ำค่าที่หาซื้อไม่ได้ในวงการ คือ ประสบการณ์ทำงานเป็นพิธีกรบนเวทีพันธมิตรฯ ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือน ซึ่งทำให้ค้นพบตัวเองว่าอยากทำอะไร ในฐานะสื่อมวลชน และรู้ตัวว่าไม่ใช่สื่อมวลชนตามทฤษฎีที่ร่ำเรียนกันมา แต่เป็นสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่แทนประชาชน

“ตามความคิดเดิมที่เคยสงสัยว่า มันคืออะไรกันแน่ สิ่งที่เรียนมาในรั้วมหาวิทยาลัย จากที่ทำงาน และมหาวิทยาลัยราชดำเนินทำให้รู้แล้วว่า ในนิยามสื่อมวลชนที่ถูกต้องตามทฤษฎี เก๋ไม่ใช่ แต่ถ้านิยาม สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่แทนประชาชน เก๋ใช่

ประสบการณ์สื่อ ที่ทำหน้าที่แทนประชาชนมานานกว่า 193 วัน ทำให้ตระหนักว่า ตัวเองผ่านอะไรมามากมาย เคยคิดครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น เราจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ถ้ารอดมาได้ก็คงไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสเท่านี้แล้ว เพราะได้ผ่านช่วงเวลาเป็น ตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทั้งช่วงสลายชุมนุม ถูกตั้งข้อหากบฎ ปิดสนาม ยิงแก๊สน้ำตา เอ็ม 79 โดนสารพัด แต่ก็ผ่านมันมาได้”

ที่เห็นได้ชัดอีกด้านหนึ่ง คือ ชีวิตเปลื่ยนแปลงไปมาก เติบโตทั้งทางวุฒิภาวะและระบบความคิด มุมมอง จากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิมเมื่อก่อนเหมือนกับคนทั่วไปที่มักเฉยๆ กับปัญหา เลือกหลับตาข้างหนึ่งปล่อยมันไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา ซึ่งถ้าทุกๆ คนคิดแบบนั้นมันจะไม่เกิดประโยชน์หรือการเปลี่ยนแปลงใดที่ดีขึ้น

“กลายมาเป็นคนที่ไม่นิ่งเฉยกับปัญหาตรงหน้า ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ใช่และไม่ยุติธรรม เราจะลุกขึ้นโต้แย้ง ต่อสู้กับปัญหานั้นทันที แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ ก็ไม่ยอม เพราะถือว่าถ้าเรื่องเล็กยอมไปแล้วเรื่องใหญ่ก็ต้องยอมเหมือนกัน อย่างเรื่องมีคนคุยโทรศัพท์ในโรงหนังยังไม่ยอมเลย จะเดินเข้าไปบอกเค้าเลยว่าไม่ควรทำ เพราะถ้าหากเก๋เฉยๆ แล้ว คนทั้งโรงภาพยนตร์ก็เดือดร้อน หรือคนที่นั่งยกเท้าขึ้นเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์

มีคนถามเหมือนกันว่า เก๋คนเดียวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เลยบอกเค้าไปว่า อย่างน้อยเราได้คิดแล้วถ้ามีคนเหมือนเรา 10 คน 1,000 คน หรือ 1 ล้านคน มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เปลี่ยนนะ ดังนั้นมันต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน”

ที่สำคัญ เธอบอกว่า มันทำให้รู้สึกศรัทธาในงานของประชาชนมากขึ้น และสามารถทำสิ่งที่เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองได้มาก แม้ว่าคำว่าบ้านเมืองมองดูเหมือนการหาเสียง แต่ในข้อเท็จจริงบ้านเมืองคือของเราทุกคน ทำให้เราคิดถึงคนอื่นๆ และรู้สึกดีถ้าหากมีคนแบบนี้มากๆ

ปัจจุบัน นอกจากจัดรายการ ยามเช้า ริมเจ้าพระยา กับพี่ปอง-อัญชะลี แล้ว เก๋ยังจัดรายการวิทยุทางFM97.75 รายการ ชวนคิด ชวนคุย ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13-.00-15.00 น. เป็นรูปแบบรายการแบบวาไรตี้ ที่เน้นแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ระหว่างผู้จัดรายการ ผู้ร่วมรายการ และคนฟังทางบ้าน เป็นรายการแรกที่กมลพรต้องรับหน้าที่หนัก เป็นทั้งผู้จัดรายการและโปรดิวเซอร์ วางแผนรายการ ต้องคิดประเด็นเอง สัปดาห์ต่อสัปดาห์ สัมภาษณ์เองพร้อมพิธีกรร่วม

“มันเป็นรายการแรกที่ตัวเองต้องเป็นโปรดิวเซอร์ วางรูปแบบรายการเป็นการแบ่งปันความรู้ ความคิดระหว่างผู้จัดรายการ ผู้ร่วมรายการที่มีประสบการณ์และคนฟังทางบ้านมีการหยิบประเด็นซีเรียส มาพูดคุยอย่างสบายๆ โดยมุ่งให้คนฟังแชร์ความคิดเห็นและความรู้ซึ่งกันและกัน เพราะเชื่อว่า คนจัดรายการ แขกรับเชิญ หรือคนฟังก็ไม่ได้รอบรู้ไปเสียทุกอย่าง จึงได้นำเอาทุกอย่างมาแชร์กัน ที่สำคัญผลตอบรับรายการก็ดีขึ้น มีคนฟังกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น” อันสร้างความภาคภูมิใจให้เธอไม่น้อย

เมื่อถามถึงความสนใจร่วมงานพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ หรือไม่ เธอตอบทันทีว่า คงไม่ใช่ทางของเก๋ เพราะงานที่เก๋อยากทำคือ งานด้านสื่อสารมวลชนที่ยังทำหน้าที่ตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริง รวมถึงงานสร้างเมล็ดพันธุ์คนสื่อรุ่นใหม่จากกลุ่มเล็กไปสู่วงการ

“มันอาจจะไม่เปลี่ยนวงการสื่อเพียงวูบเดียว แต่เก๋เชื่อว่า ค่อยๆ ปลูกผังศรัทธาและความเชื่อมั่นในสิ่งที่เค้าทำ เหมือนกับสิ่งที่เราเคยทำ สำคัญที่สุดเค้าจะต้องไม่ถูกกลืน เพราะงานมวลชนในสภาพบ้านเมืองแบบนี้ คงไม่หายไปไหน บางทีอาจทำไปกระทั่งตายก็ได้” เก๋ บอกในตอนท้าย