ศึกชิงความอร่อยสงครามครั้งใหม่ โค้ก vs เป็ปซี่

แม้ภาวะเศรษฐกิจจะไม่เป็นใจ แต่การชิงไหวชิงพริบระหว่างคู่แข่งตลอดกาล “โค้ก-เป๊ปซี่” ก็ยังคงดุเดือดเสมอมา

ที่ต้องจับตา เมื่อ “โค้ก” ตัดสินใจบุกทะลวง “ร้านอาหาร” ช่องทางขายที่ถือเป็นป้อมค่ายสำคัญของ “เป๊ปซี่” ชนิดเทหมดหน้าตัก ทั้งแคมเปญและอีเวนต์ หวังกวาดแบบยกกรุง

นับเป็นหวนคืนสู่สังเวียนเดือด หลังจากฟิตร่างกายมาเต็มที่ กับกลยุทธ์ไซสซิ่ง เจาะทุกช่องทางมาแล้ว โดยมีเดิมพันใหญ่ คือ การล้มแชมป์ที่ครองตลาดมาอย่างยาวนานอย่าง “เป๊ปซี่”

@ ผุดแคมเปญเจาะ “ร้านอาหาร” เพิ่มโอกาสขาย

ความได้เปรียบของผู้นำอย่างเป๊ปซี่ วันนี้ นอกจากเรื่องแบรนด์ที่ดูอินเทรนด์แล้ว จุดแข็งสำคัญยังอยู่ที่ช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ “เสริมสุข” ในฐานะตัวแทนจำหน่ายสร้างขึ้น และสามารถครองความเป็นผู้นำในช่องทางขายได้อย่างชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด รวมถึงร้านอาหารและร้านค้าโชห่วยทั่วไป ซึ่งมีรูปแบบการซื้อ “คืนขวด” เป็นสินค้าหลักในช่องทางนี้ ครองสัดส่วนการขายถึง 70% ขณะที่ขวดแบบวันเวย์ ซึ่งเจาะในโมเดิร์นเทรดทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนียนสโตร์ ครองสัดส่วนที่ 30%

ด้วยสัดส่วนขวดคืนที่ใหญ่ถึง 70% นี่เอง ที่ทำให้ปีนี้ช่องทางร้านอาหารและโชห่วย กลายเป็นสมรภูมิหลักในการสู้รบของทั้งคู่ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจตกแค่ไหน ร้านอาหรยังขายได้

โดยผู้ที่เบิกเกมรุกก่อนคือเจ้าตลาดอย่างเป๊ปซี่ กับ “ฟู้ดแคมเปญ” ด้วยการส่งสาวเชียร์เข้าไปจัดกิจกรรมกับร้านอาหารชื่อดังต่างๆ ทั้งร้านขนาดใหญ่ และตามตึกแถวต่างๆ ซึ่งมีทราฟฟิกสูง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจคือ สาวเชียร์เหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนกับสาวเชียร์เบียร์ตามร้านอาหาร หรือสถานบันเทิง ไม่มีผิด ทั้งเข้าไปแนะนำโปรโมชั่นของเป๊ปซี่ตามโต๊ะอาหาร รวมทั้งเชิญชวนเล่นเกมเพื่อได้ของรางวัล

ถือเป็นรูปแบบการทำกิจกรรมของน้ำอัดลมที่รุกเข้าถึงตัวผู้บริโภคแบบถึงลูกถึงคนอย่าง Aggressive อย่างยิ่ง

“นภ วงศ์พานิช” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า กิจกรรมนี้มุ่งสร้างประสบการณ์ตรงกับผู้บริโภคในการดื่มเป๊บซี่ร่วมกับอาหาร ข้อดีนอกจากจะทำให้แบรนด์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น ยังช่วยเพิ่มยอดขาย ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลมากกว่าการเปิดบูธชงชิมตามซูเปอร์มาร์เก็ต

“ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เป๊ปซี่ก็ได้มีแคมเปญและหนังโฆษณาที่มี “มาริโอ้” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อโปรโมตช่องทางร้านอาหารโดยเฉพาะ แต่ปีนี้จะเน้นหนักมากขึ้น นอกจากเพื่อสร้างประสบการณ์ ยังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสวิตช์ไปสู่แบรนด์อื่นๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มสุขภาพที่มาแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังหวังผลต่อเนื่องว่าจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีกับแบรนด์ และนำไปสู่การซื้อสินค้าในช่องทางรีเทลอีกต่อหนึ่งด้วย”

เขาชี้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมจากการุกตลาดอย่างหนักของเป๊ปซี่ผ่านกิจกรรมนี้คือ ร้านอาหารที่มีการส่งสาวเชียร์เป๊ปซี่เข้าไป ล้วนมียอดขายเพิ่มขึ้น

ความสำเร็จดังกล่าว แน่นอนว่าฝั่งโค้กไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยถัดมาเพียงไม่กี่สัปดาห์ โค้ก ออกมาขยับตัวครั้งใหญ่กับแคมเปญ “อร่อยขึ้น สนุกขึ้น อย่างเนี้ย…ต้องโค้ก” จุดประสงค์หลักคือ เพิ่มโอกาสในการดื่มโค้กในกลุ่มผู้บริโภคผ่านช่องทางร้านอาหาร

“ในวันธรรมดาผู้บริโภคจะใช้ชีวิตนอกบ้านยาวนาน จึงนิยมทานอาหารนอกบ้านเพื่อความสะดวก ดังนั้น ร้านอาหารทั้งเล็กใหญ่ ร้านตามสั่ง ร้านข้างทาง ล้วนเป็นเป้าหมายสำคัญในการเสริมสร้างโอกาสทางการขาย” เป็นคำกล่าวของ “ชนิสา แก้วเรือน” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทโคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด

โดยกิจกรรมใหญ่ที่เตรียมไว้เพื่อต่อยอดแคมเปญนี้ นอกจากภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ทางโทรทัศน์ ทางโคคา-โคลายังได้ทุ่มงบฯ จัดงานยักษ์ใจกลางกรุงกับ “โค้ก อร่อยซ่า ยกกรุง” ในวันเสาร์ที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ สยามพารากอน โดยร่วมกับทางกรุงเทพฯ ที่คัดสรรร้านอาหารชื่อดังสุดอร่อยจาก 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ มาให้ผู้บริโภคได้ลองลิ้มชิมรส
โดยไม่ลืมส่งเมสเสจไปให้ผู้บริโภคว่า “โค้กเพิ่มรสชาติและความสนุกให้ทุกมื้ออาหาร”

เรียกว่าเป็นการกลับมาสื่อสารกับผู้บริโภค เพื่อแบรนด์ทางเลือกที่เหมาะกับการดื่มร่วมกับอาหาร หลังจากที่โค้กค่อนข้างเงียบในการสื่อสารกับผู้บริโภคในช่องทางนี้มานาน และปล่อยให้คู่แข่งทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ

โอกาสในช่องทางร้านอาหารนั้นมีมหาศาลอย่างยิ่ง ด้วยจำนวนร้านทั่วประเทศนับแสนๆ ร้าน ซึ่งในนี้มีหลายร้านที่มีตู้แช่ทั้งของเป๊ปซี่และโค้ก ขณะที่สินค้าทั้ง 2 ชนิด ปัจจุบันเรียกว่าเป็นสินค้าที่สามารถทดแทนได้เกือบ 100% และหาความแตกต่างในด้านตัวโปรดักต์ไม่ได้มากนัก

ดังนั้น การสวิตช์แบรนด์ในช่องทางร้านอาหารจึงพร้อมเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ปัจจุบันร้านต่างๆ ค่อนข้างแยกกันชัดเจนระหว่างค่ายไทยน้ำทิพย์ และเสริมสุข ซึ่งจะมีตู้แช่ของแต่ละค่ายเข้าไปตั้งไว้อยู่แล้ว แต่ก็มีหลายๆ ร้านที่มีจำหน่ายทั้งโค้กและเป๊ปซี่ในร้านเดียวกัน

สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ถือเป็นครั้งแรกที่โค้กลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมที่เป็น “บิ๊กอีเวนต์” ในช่องทางร้านอาหารอย่างจริงจังและชัดเจนขนาดนี้ เสมือนเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้นำว่า การกลับมาครั้งนี้โค้กเอาจริง และเป๊ปซี่จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

@ ผุดไซส์ซิ่งเจาะร้านอาหาร-โชห่วย

จริงๆ แล้วก่อนที่จะมาเปิดเกมรบกันในช่องทางร้านอาหารนี้ ทั้งโค้กและเป๊ปซี่ได้เตรียมความพร้อมมาก่อนล่วงหน้า โดยเฉพาะโค้ก ที่เริ่มจากการเปิดตัวขวดเพ็ทขนาด 590 ม.ล. ราคา 15 บาทตั้งแต่ปลายปีก่อน เพื่อรุกเข้าไปในช่องทางโชห่วยและร้านอาหาร

ทั้งที่ปกติช่องทางนี้จะมีแต่ “ขวดคืน” ให้บริการเท่านั้น

ความน่าสนใจครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนเกมการแข่งขันในช่องทางนี้ก็ว่าได้ จาก “ขวดคืน” ทั้งขนาด 8 ออนซ์ 10 ออนซ์ ฯลฯ มาชูจุดขายในเรื่องขวดวันเวย์ในขนาดที่ใหญ่กว่าเท่าตัว แต่ด้วยราคาที่คุ้มค่ากว่า ที่สำคัญยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในเรื่องความสะดวก ซึ่งทำให้ขวดเพ็ทเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมา

เบื้องลึกการส่งขวดวันเวย์ขนาดพกพาลงสู่ช่องทางร้านอาหารและโชห่วยของโค้ก หากมองในร้านโชห่วยต่างๆ ที่แต่เดิมจะใช้วิธีเทโค้กพร้อมกับน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติก ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลให้ทั้งรสชาติ และความซ่าของโค้กเสียไป อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่ไม่ทันสมัย และไม่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวก ผิดกับโค้กเพ็ทขนาดใหม่ที่สามารถซื้อพกพาไปได้ทุกที่

ประการสำคัญที่สุด ต้องเรียกว่าเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มปริมาณการขายของตลาดน้ำอัดลม หากดูจากขนาดขวดแล้ว ถือเป็นการกระตุ้นการบริโภคน้ำอัดลมให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว ด้วยยุทธวิธีง่ายๆ ไม่ยุ่งยากโดยผู้บริโภคแทบไม่รู้ตัว

สินค้าไซส์นี้ จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่โค้กหวังจะรุกเข้าไปในช่องทางดังกล่าว เห็นได้จากการจัดโปรโมชั่น สะสมฝาโค้กขนาด 590 มล. ครบ 4 ฝาแลกฟรีโค้กขนาดเดียวกัน 1 ขวด ในช่วงที่ผ่านมา จุดประสงค์ก็เพื่อให้ผู้บริโภคสวิตช์จากขวดคืนในขนาดปกติ มาสู่ไซส์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้น

ก่อนหน้านี้ โค้กก็มีการเปิดตัวแคนมินิ ในขนาด 240 ม.ล. ด้วยราคาเพียง 10 บาท เข้ามาเป็นทางเลือกในยุคเศรษฐกิจซบเซา โดยเป้าหมายสำคัญเพื่อมุ่งเข้าไปตามตู้แช่ในร้านค้า หรือโชห่วยต่างๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่จะทำให้สินค้าได้รับการตอบรับมากขึ้น

ทางฝั่งของเป๊ปซี่ แน่นอนว่าไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ จำเป็นต้องส่ง “เป๊ปซี่ มูฟ” ขนาด 480 มล. ตามออกมาประกบในที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสวิตช์แบรนด์ เนื่องจากในช่องทางโชห่วย มักจะมีทั้งเป๊ปซี่และโค้กอยู่ในตู้แช่อยู่แล้ว ขณะที่ร้านอาหาร ยังค่อนข้างแยกชัดระหว่างแบรนด์ใด แบรนด์หนึ่ง

ถือเป็นความมุ่งมั่นของโค้ก ที่ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในช่องทางร้านอาหารและโชห่วย

ขณะเดียวกันทางบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณ์โคคา-โคลา ในพื้นที่ภาคใต้ ยังได้ส่ง

“โค้ก สลีค แคน” สินค้าระดับพรีเมียมเข้าไปแนะนำกับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น วัยทำงาน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเที่ยวกลางคืน แต่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ด้วย รูปลักษณ์ที่ทันสมัย โดดเด่น มีสไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

@ โค้กดันกลยุทธ์ “ไซส์ซิ่ง” เจาะทุกช่องทาง

“ชื่นหทัย วรรธนะดิษฐ์” อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ได้ชี้แจงถึงการใช้กลยุทธ์ไซส์ซิ่งของโค้กในช่วงที่ผ่านมาว่า บรรจุภัณฑ์ใหม่ต่างๆ จะตอบสนองแต่ละช่องทางจำหน่าย เป็นการอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อและการบริโภค รวมถึงเพิ่มทางเลือกที่เหมาะสมกับโอกาสการดื่มที่แตกต่างกันไป ทุกที่ ทุกเวลา

เธอชี้ว่า ปัจจุบันหากรวมส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มน้ำอัดลม ทั้งน้ำดำและน้ำสีแล้ว บริษัทถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% โดยวัดยอดขายจากทุกช่องทางการขาย และทุกบรรจุภัณฑ์ ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก อาคารสำนักงาน ร้านอาหารจานด่วน ตลาดสด บาร์ คาเฟ่ โรงแรม ร้านอาหาร และภัตตาคารต่างๆ

ท่ามกลางการรุกหนักของผู้ตามอย่างโค้กในทุกช่องทาง ในส่วนของเป๊ปซี่ เรียกว่ายังไม่มีกลยุทธ์ในด้านนี้เท่าใดนัก ต้องการเน้นที่ไซส์มาตรฐานดั้งเดิมที่มีอยู่ในตลาดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยไปมุ่งเรื่องการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง รวมถึงเน้นเรื่องลดต้นทุน

ส่วนการปรับเรื่องแพ็กเกจจิ้ง เป๊ปซี่ได้เน้นเรื่องของความหนา-บางของเม็ดพลาสติก และมุ่งไปที่นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทที่มีน้ำหนักเบา เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย ด้วยการทุ่มงบถึง 550 ล้านบาท สำหรับเครื่องจักรใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตขวดเพ็ท หลังจากบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทตั้งแต่ต้นปีมีการเติบโตอย่างมาก

ตลาด 0 แคลอรี่ เดือด

นอกจากบุกหนักในร้านอาหาร และร้านค้าปลีกในทุกๆ ช่องทางแล้ว เซ็กเมนต์ที่มีการประชันกันอย่างดุเดือดที่สุดต้องยกให้กับ “โค้ก ซีโร่” และ “เป๊ปซี่ แม็กซ์” กับตลาดรวมกว่า 2,000 ล้านของเซ็กเมนต์ 0 แคลอรี่

โดยตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน โค้ก ซีโร่ สร้างความประหลาดใจ ด้วยการนำโฆษณาชุดเดิมที่เคยออกอากาศไปแล้วกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง นอกจากต้องการตอกย้ำว่าโค้กโดดเด่นด้วยรสชาติ (Real Coke) ยังเพื่อปูทางเพื่อนำไปสู่กิจกรรมใหญ่ของโค้ก ซีโร่ กับแคมเปญและแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่

“ชนิสา แก้วเรือน” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายว่า โค้ก ซีโร่ใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านสื่อบุคคล หรือ Personal Contact Medium โดยทุ่มงบ 80 ล้านบาท ชูจุดขาย “อร่อยโดน รสชาติเต็มร้อย น้ำตาลศูนย์ เปอร์เซ็นต์” เปิดตัว “เป้ – อารักษ์ อมรศุภศิริ” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของโค้ก ซีโร่

“เป็นแนวคิดใหม่ฉีกรูปแบบในการทำตลาดเดิมของโค้ก ซีโร่ โดยเป้จะเป็นสื่อบุคคลที่จะทำกิจกรรมการตลาดกับผู้บริโภคโดยตรง รวมไปถึงการแจกสินค้าตัวอย่าง โรดโชว์ “โค้ก ซีโร่ อร่อยโดน ท้าลอง” นำทีมโดย เป้ ออกเดินสายลงตลาดเพื่อเชิญชวนให้ลิ้มลองรสชาติของโค้ก ซีโร่ ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามมาด้วยแคมเปญ ทริปโค้กซีโร่สุดฮิป อร่อยเต็มร้อยกับเป้ อารักษ์”

น่าจับตาว่าโค้กนั้นโหมกระหน่ำจัดกิจกรรมที่หลากหลายขึ้นอย่างชัดเจน จากทุกปีจะเห็นเพียงคู่แข่งอย่างเป๊ปซี่ที่โหมจัดแคมเปญตลอดในทุกๆ ไตรมาส

เริ่มจาก “สะสมฝาเพื่อแลกกระเป๋าเดินทาง” ซึ่งสิ้นสุดเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ต่อเนื่องด้วยแคมเปญ

“ดื่มโค้กซ่ายกก๊วน ตะลุยเกาหลี” กับ ดีเจ คลื่นซี๊ด เอฟเอ็ม 97.5 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแคมเปญ “อร่อยขึ้น สนุกขึ้น อย่างเนี้ย…ต้องโค้ก” กลยุทธ์เพิ่มโอกาสในการดื่มโค้กกับอาหาร ตามมาด้วยโปรโมตแคมเปญโค้ก ซีโร่ หาผู้โชคดีไปร่วมทริปกับเป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ

นับเป็นกลยุทธ์ “เซ็กเมนต์เตชั่น” ที่แคมเปญของโค้กจะซอยย่อยเซ็กเมนต์มากขึ้น เพื่อเจาะจงไปยังผู้บริโภคกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ทำในลักษณะเหวี่ยงแห ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่ชอบฟังวิทยุ หรือคนที่ใส่ใจในสุขภาพ ฯลฯ ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างเจาะจง ในแต่ละไลฟ์สไตล์ แต่ละช่องทาง

ผิดกับทางฝั่งเป๊ปซี่ ที่ยังเน้นกลยุทธ์ในภาพรวม แต่โฟกัสไปที่กลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก ด้วยสองกลยุทธ์หลัก “สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง” และ “มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง” ซึ่งมุ่งตอบโจทย์กลยุทธ์การสื่อสารของเป๊ปซี่ทั่วโลกในเรื่อง “I Can” เต็มที่ให้โลกเห็น

ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับไอเอ็นจีประกันชีวิต จัดแคมเปญ “เชียร์ติดขอบ แมตช์เขย่าโลก” รวมถึง “เป๊ปซี่ ฟุตวอลเลย์” และการเข้าเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับทางเอเอฟ 6 ซึ่งต่อเนื่องมาทุกปี

ทั้งหมดยังคงคอนเซ็ปต์การทำตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเจเนอเรชั่นไอแคน และอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มหลักการตลาดของแบรนด์เป๊ปซี่ใน 2 แนวทางคือ สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง ไม่เปลี่ยนแปลง

หมัดต่อหมัด โค้ก – เป๊ปซี่

โค้ก
1. ใช้กลยุทธ์ไซส์ซิ่ง บุกทุกช่องทาง
2. ส่ง “สลีค แคน” เจาะผับ,ร้านอาหารกลางคืน
3. ส่งขวดเพ็ท 590 มล.บุกร้านอาหาร โชห่วย ชูคุ้มค่าคุ่มราคา หวังเพิ่มปริมาณการขาย
4. ใช้กลยุทธ์เซ็กเมนต์เตชั่น จัดแคมเปญเจาะไลฟ์สไตล์
5. ชู “โค้ก ซีโร่” หัวหอกหลักเจาะไลฟ์สไตล์วัยรุ่น 1. ต่อเนื่องกลยุทธ์มิวสิก, สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง

เป๊ปซี่
1. ต่อเนื่องกลยุทธ์มิวสิก, สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง
2. ส่งเป๊ปซี่ มูฟ แบบวันเวย์ เจาะร้านอาหารโชห่วย เพิ่มปริมาณการขาย
3. เปิดตัว “ฟู้ดแคมเปญ” ส่งสาวเชียร์จัดกิจกรรมถึงตัวลูกค้า หวังต่อยอดการซื้อในรีเทล
4. เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการขาย บริหารโลจิสติกส์ ลดต้นทุน