“คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ” อินทรีไร้พ่ายนักสู้ 100 ล้านเหรียญฯ คนต่อไป

“คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ” คือซูเปอร์สตาร์คนใหม่แห่งโลกของกีฬาต่อสู้ ที่กำลังจะกลายเป็น “สินค้าขายดี” ของ UFC และอาจจะก้าวไปทำเงินบนสังเวียนมวยแบบที่ “คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์” เคยทำได้มาแล้ว

“มันก็แค่ธุรกิจน่า” คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ พูดเบาๆ กับ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ ในช่วงหมดยกที่ 3 ของการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่ หลังฝ่ายของ คาบิบ แสดงความไม่พอใจที่ แม็คเกรเกอร์ (และทีมงาน) “สาดสงครามน้ำลาย” มาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งด่าพ่อ, ลบหลู่ศาสนา และถึงขั้นกล่าวหาว่าเขากับทีมงานเกี่ยวข้องกับพวกผู้ก่อการร้าย

ซึ่งในช่วงเวลาที่กล้องไม่ได้จับ แต่กลับมีคนหูดีได้ยินว่า แม็คเกรเกอร์ ได้พยายามที่จะอธิบายให้กับคู่ต่อสู้ได้เข้าใจว่าทุกอย่างที่เขาทำ ก็เพื่อ “ขาย” ไฟต์นี้เท่านั้น

ประโยคสั้นๆ ของคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ อาจจะสะท้อนภาพของกีฬาแนวต่อสู้ในยุคปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย ที่ในยุคนี้ความแค้นเคือง, สงครามน้ำลาย, การด่าทอ กลายเป็นจุดขายของการต่อสู้ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ชมยอมเสียเงินซื้อ Pay-Per-View

อินทรีย์ไร้พ่ายจากแดนหมีขาว … ยอดนักสู้มุสลิม

เขาอาจจะมีบุคลิกที่แตกต่างจากแม็คเกรเกอร์ หรือ ฟลอยด์ เมเวทเทอร์ จูเนียร์ แห่งวงการมวยอยู่พอสมควร แต่ตอนนี้ไม่มีชื่อไหนในวงการกีฬาต่อสู้ที่จะร้อนแรงเท่ากับ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ หรือ “The Eagle” อีกแล้ว

หนุ่มชาวรัสเซียไม่เพียงมีฝีมือระดับ “ไร้เทียมทาน” ในกีฬาของตัวเองเท่านั้น แต่บุคลิก, ความแตกต่าง และการแสดงออกที่ไม่เหมือนใคร ก็อาจจะทำให้เขาขึ้นชั้นกลายเป็นนักสู้ระดับ “100 ล้านเหรียญฯ” อีกคนในเร็วๆ นี้

ลูกชายคนกลางในจำนวนพี่น้อง 3 คนของครอบครัวชาวมุสลิมสุหนี่ในเมืองซิลดี เขตซูมาดิสกี้ เขตปกครองพิเศษดาเกสถาน คาบิบ ฝึกฝนมวยปล้ำจากบิดาที่เป็นอดีตนักกีฬาของกองทัพมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อเติบโตขึ้นก็เริ่มเรียนยูโด และแซมโบที่เป็นศิลปะป้องกันตัวของชาวรัสเซีย ว่ากันว่าเขาเคยฝึกฝนด้วยการสู้กับหมีมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ อายุแค่ 5 ขวบเท่านั้น

แม้จะเคยก่อเรื่องชกต่อยตามประสาวัยรุ่นอยู่บ้าง สุดท้าย คาบิบ จึงได้ก้าวขึ้นสู่สังเวียนนักสู้อย่างเต็มตัว และเขาก็เลือกที่จะเข้าไปสู่ในเวทีกรง 6 เหลี่ยมของศิลปะป้องกันตัวแบบผสมผสาน (Mixed martial arts) กีฬาแนวต่อสู้ที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ คาบิบค่อยๆ กวาดชัยชนะจากทั้งในยูเครน และรัสเซีย จนได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงสังเวียนของ Ultimate Fighting Championship หรือ UFC ในที่สุด และขึ้นสู้จุดสูงสุดในอาชีพเมื่อสามารถเผด็จศึกซูเปอร์สตาร์อันดับ 1 ของ UFC ได้อย่างง่ายดาย จนตอนนี้สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ถึง 27 ไฟต์ติดต่อกันแล้ว

 

รวมถึงการต่อสู้ครั้งล่าสุดที่ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ ไม่เพียงจับล็อกจนแม็คเกรเกอร์ “แท็บเอาต์” ขอยอมแพ้อย่างราบคาบเท่านั้น แต่เมื่อการต่อสู้จบลงนักสู้ชาวรัสเซียถึงกับกระโดดออกนอกกรงไปซัดกับทีมงานของแม็คเกรเกอร์ต่ออีกยก

เรื่องนี้ทำให้คาบิบถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ก็มีคนเห็นใจเขามากมาย แต่ที่แน่ๆ หาก แม็คเกรเกอร์ได้กลับมาเจอคาบิบบนเวทีอีกครั้ง เม็ดเงินที่ทั้งคู่จะได้รับนั้นจะมากมายมหาศาลยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

สตอรี่, บุคลิกเฉพาะตัว, สีสันนอกสังเวียน … สำคัญไม่แพ้ฝีมือ และความมันส์บนเวที

ในวงการศิลปะป้องกันตัวมีนักชกอยู่มากมาย อย่าง แมนนี ปาเกียว จากประเทศฟิลิปปินส์ ที่ไม่ได้แค่เก่ง แต่ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นนักมวยที่ชกได้อย่างดุเดือดมาก ความรวดเร็ว และหมัดที่หนักสุดๆ ทำให้แฟนมวยส่วนใหญ่เทใจให้กับเขาแบบเดียวกับที่เคยเทใจให้กับไมค์ ไทสัน

ในทางตรงกันข้าม ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นนักชกเกมรับกลับมีเชื่อเสียงเรื่องความน่าเบื่อ มักจะโค่นคู่ต่อสู้ด้วยความรวดเร็วในการหลบหมัด และเทคนิคต่างๆ จนได้รับการยกมือให้ชนะคะแนนได้ในท้ายที่สุด

แต่ถึงจะมีลีลาช่วยง่วงนอน แต่ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กลับทำเงินได้มากกว่า ปาเกียว และนักชกคนอื่นๆ หลายเท่าตัว นั่นก็เพราะเขาได้สร้าง “อิมเมจ” เฉพาะตัวขึ้นมา แต่สุดท้ายแล้วฝีมือก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่าการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ทำให้ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นที่สนใจ แต่ภาพลักษณ์ทั้งหมดก็มีพื้นฐานมาจากสถิติ “ไม่เคยแพ้ใคร” ของเขาเองด้วย เช่นเดียวกับคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักสู้ปากกรรไกรแห่ง UFC ที่อาจจะโด่งดังจากลีลา

สำหรับ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ เขาไม่ใช่คนที่พูดเก่งเหมือนนักสู้บางคน แต่พื้นเพ, การแสดงออก และโดยเฉพาะเหตุการณ์หลังไฟต์ล่าสุดก็ทำให้คาแร็กเตอร์ของคาบิบชัดเจนมากยิ่งขึ้น … “มันพูดถึง ประเทศของผม, ศาสนาของผม, พูดถึงพ่อของผม” คาบิบให้สัมภาษณ์หลังก่อเหตุวิวาท และบอกว่าเขายอมรับไม่ได้จริงๆ กับสิ่งที่ แม็คเกรเกอร์ทำ … ถึงตอนนี้ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ บอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และพร้อมจะออกจาก UFC ถ้าจำเป็น

จากนักสู้ไร้พ่ายผู้เก่งอาจ ตอนนี้ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ กลายเป็นความภูมิใจของชาวรัสเซีย, เป็นตัวแทนของศาสนาอิสลาม เป็นคนจริงผู้ไม่ยอมให้ใครมาหยามหน้า คนรัสเซียจำนวนมากรอคอยการต่อสู้ครั้งต่อไปของคาบิบ ส่วนคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยก็อยากจะเห็นเขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปสักครั้ง

กีฬาไฟต์ติ้งยุค “โซเชียลมีเดีย”

ในยุคก่อน อาลี อาจจะสร้างความแตกต่างจากการสร้างสีสันในงานแถลงข่าว จนกลายเป็น “จอมโว” แห่งวงการ แต่ในยุคนี้นักกีฬาต่างใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างกระแส โดยเฉพาะ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ คือหนึ่งในนักกีฬาที่ใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด จนชื่อของเขาไม่เคยหายไปจากไทม์ไลน์ของแฟนๆ กีฬาเลย ไม่ว่าจะมาจากโซเชียลมีเดียของเขาเอง หรือของคนอื่น

คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ มีคนติดตาม Facebook, Twitter และ Instagram รวมเกือบ 10 ล้านคน และไม่กลัวที่จะก่อสงครามน้ำลายทางโซเชียลกับนักสู้คนอื่นๆ และไม่ยี่หระที่จะถูกมองว่าเป็นคน “ไร้น้ำใจนักกีฬา” นอกจากนั้น แม็คเกรเกอร์ยังไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่กับเรื่องบนฝืนผ้าใบเท่านั้น มักจะเผย “ไลฟ์สไตล์” ของตัวเองให้แฟนๆ ได้เห็นผ่านทางโซเชียลมีเดียด้วย เขามักจะขับรถยนต์หรู, เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว, สวมสูทสีสันจัดจ้านไม่เหมือนใคร และดื่มเหล้าวิสกี้ราคาแพง

คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ เองก็ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้เป็น “สิงห์” โซเชียลเหมือนคอเนอร์ แม็คเกอร์ แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นขวัญใจของชาวเน็ตแฟน UFC ไม่แพ้ใคร แต่สถานะดังกล่าวยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก เมื่อเขาคว่ำแม็คเกรเกอร์บนเวทีอย่างราบคาบ และเปิดศึกต่อกันนอกสังเวียน

จากนักสู้ไร้พ่ายผู้เก่งกาจ ตอนนี้ คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ กลายเป็นความภูมิใจของชาวรัสเซียในฐานะแชมป์ UFC ที่มาจากรัสเซียเป็นคนแรก, เขาเข้าพบประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ทันทีเมื่อคว้าเข็มขัดมาได้

และไม่เท่านั้น คาบิบยังเป็นตัวแทนของศาสนาอิสลาม ในฐานะมุสลิมคนแรกที่คว้าแชมป์ในการแข่งขัน MMA ที่สหรัฐฯ ด้วย การต่อสู้ของคาบิบ กับ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่การต่อสู้ของตัวแทนของมุสลิม และตัวแทนของคนผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์ด้วย แม้แต่ โจ โรแกน ผู้บรรยายเกมก็ยังยอมรับว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่คงจะไม่ได้จบแค่ในสังเวียน … “แต่มันจะลุกลามไปใหญ่โต ในหมู่คนมุสลิม และไอริส ในบาร์, ตามท้องถนน รวมถึงที่อื่นๆ ด้วย”

ทำเงินก้อนใหญ่ด้วย “ซูเปอร์ไฟต์”

ต้องยอมรับว่าความเก่งกาจ, ภาพลักษณ์นักกีฬาผู้ยอดเยี่ยม หรือความไร้เทียมทาน อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ขายดีที่สุดในวงการกีฬา โดยเฉพาะกีฬาแนวศิลปะป้องกันตัวอีกต่อไปแล้ว แต่คนที่มีความ “สุดโต่ง” บางอย่างอยู่ กลับกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด

ของการปั้นสตอรี และเรื่องของการสร้างอิมเมจ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต่อสู้ระหว่างมวยแก่วัย 40 ฟลอยด์ กับนักชกกรงเหล็กที่ไม่เคยผ่านสังเวียนมวยอาชีพอย่าง แม็คเกรเกอร์ ขาย Pay-Per-View ถึง 4.2 ล้านคน ได้อย่างเหลือเชื่อฟลอย์ สามารถทำเงินจากการต่อสู้ครั้งนั้นได้ถึง 200 ล้านเหรียญฯ (มากกว่ารายได้ต่อปี ของ เมสซี่ และ โรนัลโด ถึงเท่าตัว) จากการต่อสู้ครั้งนั้น ส่วน แม็คเกรเกอร์ ก็ทำเงินไปเหยียบ 90 ล้าน

และทันทีที่คาบิบ นูร์มาโกเมดอฟ กลายเป็นแชมป์คนใหม่ เขาประกาศท้าทายว่าพร้อมแล้วที่จะขึ้นสังเวียนกับ “ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์” ทันที ส่วนทางตัวแทนของ UFC ก็เปรยว่าอาจจะมีการ “รีแมตช์” ของคาบิบ กับ คอเนอร์ ในเร็วๆ นี้ด้วยเหมือนกัน แน่นอนรวมถึงรีแมตช์ระหว่าง ฟลอยด์ และ คอเนอร์ ก็น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกครั้งด้วย

ซูเปอร์ไฟต์เหล่านี้อาจจะไม่ได้มีความสมเหตุสมผลทางกีฬา, ไม่ได้ชิงแชมป์สำคัญใดๆ, นักกีฬาไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงสุดยอดของตัวเองเองอีกแล้ว… แต่ความโด่งดัง, สตอรี และจุดขายพิเศษของเหล่านักสู้คือปัจจัยที่ทำให้ “ซูเปอร์ไฟต์” ลักษณะนี้ทำเงินอย่างมหาศาล และเป็นเกมที่ “พลาดไม่ได้” สำหรับผู้ชม