เกม “ปราบเสือ” ของ “อภิสิทธิ์”

ถ้าเปรียบเป็นซีรี่ส์ฮ่องกง หนังจีนชุด เกมหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ก็มันหยดไม่แพ้กัน!!

แม้ยังไม่รู้ตอนจบจะเป็นเช่นใด หรือจบแล้ว มีภาคต่อให้รับชมกันอีกหรือไม่ ?

ตลอดห้วงเวลาเกือบสองเดือน ก่อนเกษียณอายุราชการบนเก้าอี้ ผบ.ตร. พล.ต.อ.พัชวาท คงไม่คาดคิด จะเจอกับมรสุมชีวิตเช่นนี้

และก็คงไม่ใช่แค่เรื่องของนายกฯวัยละอ่อน กำลังเหลิงอำนาจ เพราะในความเป็นจริง “ผู้นำ” กับ “ตำรวจ” ฮึ่มๆ มาพักใหญ่แล้ว

ตั้งแต่เหตุการณ์สงกรานต์ทมิฬ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกอาละวาด เผาบ้านป่วนเมือง มีการพูดถึงเหตุสำคัญที่ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เพราะตำรวจ “เกียร์ว่าง”

ในวงประชุมฝ่ายความมั่นคง ต่อหน้าผู้นำเหล่าทัพ รวมทั้ง ผบ.ตร. ในการแก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบเฉพาะหน้า มีคำเอ่ยจากผู้นำ ขู่จะใช้ไม้แข็งกับบิ๊กตำรวจ

“ถ้าไม่ทำหน้าที่ หากจำเป็นต้องย้าย ผมก็ไม่มีทางเลือก”

คือปฐมบทของความขัดแย้ง!

และเวลานั้น หลายฝ่ายกระตุ้นให้นายกฯ “ตีเหล็กเมื่อไฟยังร้อน”แต่ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่นายกฯรับรู้ถึงแผน “วางยา” มีกลุ่มบุคคลไม่ปรารถนาดี

ที่ว่าขั้วอำนาจใหม่ คือกองกำลังผสม สีเขียว สีกากี และสีน้ำเงิน ที่เดินหมากบนกระดานชิงอำนาจ ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะผลีผลาม!!

แต่วันนี้ก็เห็นแล้วว่า การเปิดศึกห้ำหั่น เอาล่อเอาเถิด เพื่อดึงอำนาจมาอยู่ในมือ ของนายกฯ เป็นการขึ้นบัญชีแค้น และใจเย็น

เฝ้ารอจนถึงวันเวลาที่เหมาะสม เกม “เชือดนิ่มๆ” จึงเกิดขึ้น!!

และที่เดินแผนปฏิบัติการสางแค้น เป้าหมายที่บิ๊กสีกากี ฝ่ายหนึ่งใน “ขั้ว อำนาจใหม่” ถือเป็นการยุทธ์ที่ฉลาด

โจมตีใน “จุดอ่อนที่สุด” ของศัตรู

เพราะในส่วน “สีเขียว” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นแกน กลางนิวเคลียส มี “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” สยายปีกผงาดยกแผงในนกองทัพ สุ่มเสี่ยงเข้าตี

ขณะที่ในส่วนกองกำลังสีน้ำเงินปีกการเมือง พรรคภูมิใจไทย ก็ทำได้เพียงสกัดกั้นการเติบโต ชะลออาการผยอง ยังไม่ถึงเวลา “แตกหัก”

สีกากี-ตำรวจ จึงเป็นเป้าหมายแรก ในแผนทลายขั้ว!

แต่ถึงจะเย็นใจ เตรียมแผนไว้ดี และรอจนพร้อม แต่การเล่นกับ “เสือ” ก็ย่อมต้องโดนเขี้ยวถูกกรงเล็บเกี่ยวได้แผลกันบ้าง

เพราะอย่าลืมว่า พล.อ.พัชรวาท คือน้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.ประวิตร บิ๊กบราเธอร์ของขั้วอำนาจใหม่ ระดับ “ซูเปอร์เพาเวอร์”คอยแบ็กอัพ

เพราะตั้งแต่ยื่นมือเข้าไปในรั้วปทุมวัน โดยอาศัยเรื่อง “ตอ” คดีลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯเป็นใบเบิกทาง “อภิสิทธิ์” ต้องยุ่งยากในการกำชับอำนาจในวงการสีกากี

อีกทั้ง “คนใน” อย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ก็เหมือนรู้เห็นเป็นใจ โน้มเอียงไปทางฝ่ายตรงข้าม
นายกฯจึงต้องแก้เกมกันช็อตต่อช็อต วันต่อวัน ด้วยกลยุทธ์ “แมวไล่จับหนู”

เพราะทั้งท่าทีที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงใน สตช. ที่แสดงออก และส่งสัญญาณทางอ้อม ถูกต่อต้านด้วยการ “สู้”

พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ยอมถูกกระทำ ถึงจะอ่อนตามแรงบีบ ยอมเดินทางไปดูงานต่างประเทศและต่างจังหวัด เพื่อเปิดทางให้มีการแต่งตั้งรักษาการ ผบ.ตร.

แต่ก็หาข้ออ้างกลับก่อนกำหนด “ดื้อแพ่ง”

หรือกับการที่นายกฯแตะเบรก “โผนายพล” ตามโครงสร้างใหม่ของ สตช. ที่พล.ต.อ.พัชรวาทจัด “ทิ้งทวน” ไว้แล้ว โดยยื้อการประกาศกฎหมายใหม่ และทำท่าจะเข้าไปปรับรื้อโผ

หมากนี้ ถูกสวนคืนทันควัน ด้วย “อาวุธลับ” จากบิ๊ก สตช. ว่าด้วยสาเหตุของการยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามโผของนายกฯ เพราะ “ใบสั่ง” ของคนใกล้ชิด ไม่เป็นไปตามสั่ง

เป็นการ “เป่าหู” ผู้นำให้ป่วนโผ โละบัญชี!!

การหักเหลี่ยมเฉือนคมรายวัน ที่เหมือนหนังจีนชุดฉายกันเป็นตอนๆ ผลัดกันเพลี่ยงพล้ำ สลับกันเหนือกว่า หลายปมหลายกรณี โดยยังไม่มีฝ่ายใดกำชัยเด็ดขาด

“บิ๊กป๊อด-พัชรวาท” เก้าอี้ยังเหนียว “อภิสิทธิ์” ก็รู้ดีถึงพลังแฝงอยู่เบื้องหลังเป้าหมาย จึงไม่ได้เร่งเกม
แต่เรื่องดำเนินมาจนถึงจุดไคลแมกซ์ ที่ก็ไม่เหนือความคาดหมายของผู้ติดตามชมซีรี่ส์หักเหลี่ยมเฉือนคมชุดนี้

“อภิสิทธิ์” และ เครือข่าย “กองกำลังผสม” เข้าปะทะกันด้วยปมการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่

เมื่อนายกฯมั่นใจในชุด “ข้อมูล” ที่มีในมือ เมื่อต้องเจอกับอีกชุด “ข้อมูล” ฝ่ายตรงข้าม ความพยามผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจขึ้นเป็นแม่ทัพสีกากีรายใหม่ ที่หน้าแหกไม่ใช่เพราะ “บุ่มบ่าม”

แต่ด้วยมีปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม!!

ในขณะเดียวกัน ชื่อของ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. ที่ขั้วอำนาจใหม่สนับสนุน ทั้งที่ก็เป็นมือไม้ระบอบทักษิณและรัฐตำรวจ ก็ใช่สะดวกโยธิน

สถานการณ์ยัง “ยัน” กันอยู่ที่แนวรบ รอชี้ขาดที่ “ข้อมูลชุดสุดท้าย”

เป็นคำตอบท้ายสุด!

หนังชุดตอนยาว “ศึกหักเหลี่ยมเฉือนคม” เรื่องนี้ บทอวสานใกล้มาถึงแล้ว โดยไม่ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะ อีกฝ่ายพ่ายแพ้ หรือมีทางออกที่สาม

แต่ก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไปทั้งคู่

แต่ที่เจ็บมากกว่า “พัชรวาท” บิ๊กตำรวจที่มีฝ่ายสนับสนุนแข็ง แน่น ปึ้ก รายนี้ก็เลือดโทรมกาย ก่อนอำลาตำแหน่งไปเรียบร้อย

บาดแผลฉกรรจ์จากการสู้รบนับไม่ถ้วน

ถึงจะหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่พ้นคมมีดบินที่ซัดออกมาปักเป็นชนักติดตัว หลังพ้นจากเก้าอี้อำนาจ คงต้องรักษาตัวกันยาว

เฉพาะคดีความถาโถมเข้ามาเป็นมรสุมชีวิต ทั้งคดี 7 ตุลาฯเลือด เรื่องอยู่ในป.ป.ช. แม้คดีอืดเหมือนมี “ตัวช่วย” แต่สักวันก็ต้องชี้ขาด และยังมีการตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างโครงการพีอาร์ใน สตช. ข้อกล่าวหาความไม่โปร่งใสในโผแต่งตั้งโยกย้าย และท้ายสุดยังโดนเปิดรีสอร์ตหรูซุกไว้ในชื่อสองลูกสาว “พัชรา-นวพร”

เพียงเท่านี้ ชีวิตหลังเกษียณก็ต้องยุ่งยาก เดินสายชี้แจงแก้ต่างกันเหนื่อยแล้ว ขณะเดียวกัน สำหรับ “อภิสิทธิ์” เมื่อเลือกเดินหน้าชน กับอีกหนึ่ง “ศัตรู”

นอกจาก “ระบอบทักษิณ” ก็ถือว่าได้ฝึกปรือฝีมือการเป็นแม่ทัพ

เมื่อเดินสู่สมรภูมิศึก “บาดแผล” ก็คือใบประกาศนียบัตร “นักรบ”

เป็นบทเรียนสำหรับนักการเมืองที่มีโอกาสเป็นผู้นำแต่วัยเยาว์ ได้แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจ ในภาวะความเป็นผู้นำอย่างเต็มตัว

ลบคำปรามาส “เด็กน้อย” อ่อนต่อโลก

ที่สำคัญที่ “อภิสิทธิ์”ได้เต็มๆ กับการเปิดศึกกับบิ๊กสีกากี คือการได้ลากเอาแบ็กอัพ พล.ต.อ.พัชรวาท ที่ดาหน้าออกมาปกป้อง “น้องเล็ก” ขั้วอำนาจใหม่

ได้ลาก “ศัตรู” ที่คนนอกไม่รู้ ออกจากมุมมืดมาสู่ที่สว่าง ทำให้สปอตไลต์สังคมฉายจับ สายตาของผู้คนจ้องมองด้วยความหวาดระแวงไปที่ขุนพล “ขั้วอำนาจใหม่

แลเห็นถึงอันตรายของ “อำนาจ” ที่ “ซ้อนทับ” รัฐบาลที่ถือครองอำนาจจริง

นายกฯวัยละอ่อน ได้ฝนเขี้ยวให้คม ก็คุ้มแล้ว!!