‘บีเจซี’ ปิดดีลเข้าซื้อกิจการธุรกิจกาแฟท้องถิ่น ‘วาวี’ ไปอย่างหมดจด ด้วยมูลค่าที่ไม่มีการเปิดเผยแต่พอเดาเล่นๆ ได้ว่า น่าจะอยู่ในหลักร้อยล้านบาท
‘บีเจซี’ ในนามของบริษัท บีเจซี เมก้า มาร์เก็ต จำกัด (บีเจเอ็มเอ็ม) ซึ่งเป็นบริษัทลูก ปิดดีลการเข้าซื้อกิจการธุรกิจกาแฟท้องถิ่น ‘วาวี’ ไปอย่างหมดจดสวยงาม ด้วยมูลค่าที่ไม่มีการเปิดเผย
ดีลนี้ไม่ได้มาเร็วเคลมเร็วเคาะราคาแล้วจบกัน แต่ใช้เวลาเทียวไล้เทียวขื่อหากันร่วม 2 ปี กว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องอนาคตใหม่ของวาวี เรื่องทีมงานบริหาร การรักษาคุณภาพและรสชาติแบบวาวีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี เป็นบริษัทการค้า ที่ทำธุรกิจครบวงจรทั้งผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ แปรรูปกลางน้ำ และจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคปลายน้ำ การเทกโอเวอร์ไฮเปอร์มาร์เก็ต ‘บิ๊กซี’ ช่วง 3 ปีมานี้ ทำให้ภาพของบีเจซีถ่ายเทน้ำหนักจาก “ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค” ไปสู่ “ธุรกิจค้าปลีก” ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
โดยปัจจุบันบีเจซีมีรายได้หลักจากบิ๊กซี 70% ของรายได้ทั้งหมด รองลงมาคือ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง 13% ธุรกิจอุปโภคบริโภค 11% ธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิค 8% ตามลำดับ
ขณะที่บริษัท กาแฟวาวี จำกัด เป็นธุรกิจเอสเอ็มอีท้องถิ่น ที่พยายามก่อร่างสร้างตัว ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา เคยล้มบ้าง มีเฮบ้าง โดยมีฐานที่มั่นอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ มีสาขาทั้งหมด 20 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ภาคเหนือ มีสาขาที่กรุงเทพฯ ประปรายบ้าง และสาขาที่โดดเด่นที่สุดคือ “สาขาบิ๊กซี ราชดำริ” ปฐมบทการปิดดีลส่งท้ายปี 2561 ของบีเจซีในห้วงเวลานี้
ทำไม “บีเจซี” ถึงซื้อกิจการ “วาวี”?
ที่ผ่านมามีธุรกิจกาแฟน้อยใหญ่ต่างเสนอตัวมาเสนอขายให้บีเจซีจนหัวกระไดบ้านไม่แห้งแต่ถึงบีเจซีจะมีเงินถุงเงินถังแต่ก็ใช่ว่ากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่รายนี้จะหลวมตัวควักกระเป๋าให้ง่ายๆ เพราะแนวทางของบีเจซีต้องการ “ช้างเผือก” ที่รู้ลึก ทำจริง และรักในธุรกิจที่ทำอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และกาแฟวาวีก็เข้าสูตรนี้
เราไม่ได้ต้องการบริษัทที่มีกำไรดี มีหน้าบัญชีสวยๆ แต่เจ้าของไม่ได้มีความรู้อย่างจริงจังในธุรกิจที่ทำ
สุวรรณี ภู่นภานนท์ รองประธานฝ่ายกลุ่มกาแฟ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
ในมุมของบีเจซี ธุรกิจกาแฟวาวี ถือเป็นแบรนด์ที่ดี และกาแฟยังสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยทุกวันนี้ที่นิยมดื่มกาแฟกันมาก ซึ่งมองว่า ธุรกิจกาแฟวาวียังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
ทำไมบิ๊กซีถึงสนใจธุรกิจกาแฟ?
ธงผืนใหญ่ของบีเจซีคือรองรับกับการขยายกิจการค้าปลีกบิ๊กซีไปในประเทศเพื่อนบ้าน โดยปีหน้า 2562 บิ๊กซีเตรียมเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ลาว รวมถึงเปลี่ยนค้าปลีกในเครือบีเจซีที่ลาว “เอ็มพ้อยท์มาร์ท” มาเป็นมินิบิ๊กซี ซึ่งปัจจุบันมี 43 สาขา หลังจากนั้นบิ๊กซีจะไปเปิดสาขาที่ปอยเปต กัมพูชา และขยายสาขาเพิ่มเติมที่เวียดนาม โดยเฟสแรกจะขยายร้านกาแฟวาวีให้ครอบคลุมทั้งตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ก่อนจะมองในภาพใหญ่ถัดไป ดังนั้นการซื้อหากิจการกาแฟมาเป็นของตัวเองจึงมีความคล่องตัวกว่าจับมือกับพันธมิตร
กาแฟเป็นธุรกิจที่ “อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ผู้บริหารบิ๊กซี ให้ความสนใจมานาน และเพิ่งจะมาสมใจเอาตอนที่วาวีพรีเมียมแบรนด์ เป็นแบรนด์คนไทย ที่ตรงใจกับจุดยืนของบิ๊กซีห้างคนไทยเป๊ะ
อนาคตจากนี้ไปของวาวี ยังคงสถานภาพ “กาแฟออร์แกนิก” จับตลาดพรีเมียม ซึ่งบีเจซีจะปรับภาพลักษณ์แบรนด์กาแฟวาวีใหม่ ทั้งโลโก้และสโลแกน ขณะเดียวกันจะเพิ่มเมนูกาแฟให้หลากหลายมากขึ้น วางกลยุทธ์ราคาจับต้องได้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ โดยราคาถูกกว่ากาแฟสตาร์บัคส์ 30% เริ่มต้น 35 บาทขึ้นไป วางจุดขายให้แตกต่างจากกาแฟพรีเมียมเจ้าดังที่ดูดีแต่ทำได้แค่มอง
ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสาขาวาวี จากที่มีอยู่ปัจจุบัน 20 สาขา ปีหน้าจะเปิดเพิ่มเป็น 100 สาขา พร้อมติดเทอร์โบขึ้นไปให้ได้ 1,000 สาขาภายใน 3-5 ปี ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 2,000 ล้านบาท และพิจารณาการขายแฟรนไชส์ควบคู่กันไป
รูปแบบร้านกาแฟวาวี มี 3 แบบ คือ 1. แฟลกชิปสโตร์ ขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตร.ม. จะเปิดสาขาที่ บิ๊กซี ราชดำริ และสุขาภิบาล 5 2. ขนาดเอส พื้นที่เฉลี่ย 20 ตร.ม. หรือเป็นคีออส ซึ่งปีหน้าบริษํทฯ จะเน้นการขยายรูปแบบนี้มากขึ้น โดยการเปิดขายแฟรนไชส์ ช่วงแรกจะเน้นในกรุงเทพฯ เป็นหลักก่อน และ 3. ขนาดเอ็ม พื้นที่ร้านเฉลี่ย 40-80 ตร.ม.
ทำไมวาวีถึงขายกิจการให้บิ๊กซี?
กรณีศึกษา “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” อาจไม่ตรงทีเดียวนัก สำหรับการที่บีเจซีเข้ามาซื้อวาวี ลำพังวาวีเองก็คิดหนักที่จะขาย “ของรักของหวง” ที่ปลุกปั้นมากับมือร่วม 20 ปีที่ผ่านมา บิ๊กซีไม่ใช่กลุ่มทุนรายแรกที่เข้ามาทาบทามวาวี แต่บิ๊กซีเป็นค้าปลีกรายเดียวที่ แสดงออกถึงความตั้งใจจริงที่จะคงสิ่งดีๆ ที่วาวีทำไว้แต่เดิม แต่จะมาขยายผลต่อในสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของกิจการ ที่ผู้บริหารวาวีก็มองเห็นแต่ทำอะไรไม่ได้มากนัก ตามประสาเถ้าแก่ที่ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
ไกรสิทธิ์ ฟูสุวรรณ กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งกาแฟวาวี เล่าว่า ที่ผ่านมาวาวีเคยมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในปีที่ 9-12 ของกิจการ สามารถทำยอดขายได้สูงสุด 100 ล้านบาท มีสาขาทั่วประเทศ 67 สาขาจากการขายแฟรนไชส์ ซึ่งปัญหาการจัดการเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้วาวีต้องรีบเจ็บแต่จบ ยกเลิกระบบแฟรนไชส์ ลดจำนวนสาขาลงมาเหลือ 20 แห่งในปัจจุบัน ปักธงเป็นร้านกาแฟที่มีเอกลักษณ์ของคนภาคเหนือ จนกระทั่งบีเจซีก้าวเข้ามาโมดิฟายน์จากร้านกาแฟ “ระดับท้องถิ่น” มาเป็นร้านกาแฟ “ระดับภูมิภาคอาเซียน”
บิ๊กซีวิเคราะห์ว่าวาวีเป็นธุรกิจมีศักยภาพจากความพิถีพิถันตั้งแต่การปลูกการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ กระบวนการผลิต การคัดแยกเมล็ดเกรดดีออกจากเกรดไม่ดีไม่ให้ปนกันโดยไม่หวังผลส่วนต่างของกำไร การออกแบบหน้าร้าน การเลือกใช้วัสดุทุกชิ้นเพื่อสร้างบุคลิกแบบวาวีแหล่งที่มาของกาแฟออร์แกนิกต้นทุนสูงแต่ตอบโจทย์สุขภาพ
สิ่งที่วาวีขาดหายไปคือเรื่องของการจัดการ ยิ่งขยายสาขาและขายแฟรนไชส์เรื่องบริการและการตลาดยิ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างธุรกิจให้เติบโต การที่บิ๊กซีเข้ามารับช่วงต่อจะทำให้วาวีไปได้ไกล อีกทั้งการทำตลาดกาแฟออร์แกนิกให้คนทั่วไปเข้าถึงได้จากการพัฒนาสูตรใหม่ๆ สำหรับคอกาแฟทุกคน
จากนี้ไปวาวีจะเป็นแบรนด์กาแฟคนไทยที่คนรู้จักกันทั่วประเทศ บริหารงานโดยห้างคนไทยขณะที่เอสเอีมอีคนไทยอย่าง “ไกรสิทธิ์” ก็ผันตัวไปเป็นซัพพลายเออร์ผลิตและส่งมอบเมล็ดกาแฟวาวีออริจินให้บิ๊กซี และเป็นที่ปรึกษาให้บิ๊กซีในฐานะผู้เชี่ยวชาญเมล็ดพันธุ์
หลายกรณีของการเทกโอเวอร์ ดูเผินๆ เป็นเรื่องของทุนใหญ่ไล่ฮุบทุนเล็ก แต่ถ้ามองเข้าไปถึงไส้ใน ต้องยอมรับว่ามีเอสเอ็มอีจำนวนไม่น้อยที่ไปไม่ถึงไหน เพราะข้อจำกัดเรื่องทุนและการตลาด การก้าวเข้ามาของทุนใหญ่แบบเอื้อเฟื้อต่อกัน จึงถือเป็นทางเลือกที่ win-win game.