เฟซบุ๊ก (Facebook) ต้องเผชิญกับปัญหาที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน จนส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลงถึง 7-8% หลังจากได้ออกมายอมรับต่อสาธารณชนว่า อนุญาตให้บริษัทอื่นสามารถอ่านข้อความส่วนตัวของผู้ใช้จริง การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากการตรวจสอบของสื่อใหญ่ New York Times ด้าน Facebook อ้างทุกอย่างได้รับความยินยอมจากผู้ใช้แล้วตั้งแต่คลิก “ลงชื่อใช้งานด้วยบัญชีเฟซบุ๊ก” หรือ sign in with Facebook account
การยอมรับของ Facebook เกิดขึ้นหลังจากสื่อใหญ่อย่าง NYT เปิดโปงว่า Facebook ได้มอบสิทธิให้บริษัทใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ์ (Netflix), สปอติฟาย (Spotify) และธนาคารรอยัลแบงก์ (Royal Bank of Canada) ให้สามารถอ่าน เขียน และลบข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook ได้ ซึ่งแปลว่า การรับส่งข้อความส่วนตัวบน Facebook นั้น จะไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป
นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่า Facebook อนุญาตให้รายใหญ่อย่างอะเมซอน (Amazon) ได้รับชื่อผู้ใช้ และข้อมูลการติดต่อกลุ่มเป้าหมาย ผ่านทางเพื่อน หรือโพสต์ของเพื่อนที่ถูกแชร์บนเครือข่ายของยาฮู (Yahoo) แถมยังอนุญาตให้เสิร์ชเอนจินอย่าง บิง (Bing) ของไมโครซอฟท์ สามารถเข้าดูชื่อเพื่อนของผู้ใช้งานเกือบทั้งหมด โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของ Netflix และ Spotify ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยทั้งคู่บอกว่า ไม่ทราบว่าระบบของ Facebook เปิดให้เข้าถึงข้อความส่วนตัวเหล่านี้ ขณะที่ Royal Bank of Canada ปฏิเสธว่า บริษัทไม่สามารถอ่านข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook อย่างที่ในรายงานกล่าวอ้าง โดยโฆษกของ Netflix ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ว่า บริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix เคยอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถแนะนำรายการทีวีและภาพยนตร์แก่เพื่อนใน Facebook ได้ แต่ฟีเจอร์นี้ก็ปิดตัวลงในปี 2015 ซึ่งกินระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี
Netflix ยืนยันในแถลงการณ์ว่า บริษัทไม่เคยเข้าถึงข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook และไม่เคยขอให้ Netflix เปิดระบบ เพื่ออ่านข้อความส่วนตัวของผู้ใช้ตามที่มีรายงานออกมา
NYT investigation: Internal Facebook records show that the company gave Microsoft, Amazon, Netflix and other tech giants far more intrusive access to your personal data than it ever disclosed https://t.co/lT3yQpodkw
— The New York Times (@nytimes) 19 ธันวาคม 2561
ด้าน Facebook เจ้าพ่อเครือข่ายสังคมยอมรับในโพสต์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ได้อนุญาตให้บริษัทอื่นสามารถอ่านข้อความส่วนตัว หรือ private message บนระบบ Facebook ได้ เนื่องจากผู้ใช้งานรายนั้นได้อนุญาตไว้แล้วเมื่อคลิกลงชื่อเข้าใช้ Spotify ผ่านทางบัญชี Facebook
จุดนี้ Facebook กล่าวในแถลงการณ์ว่าจะไม่มีบริษัทใดเข้าถึงข้อมูลบน Facebook ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ โดยทั้งหมดนี้จะต้องไม่มีการละเมิดกฎของ FTC (Federal Trade Commission) แน่นอน จุดนี้ Facebook เคยตัดสินใจปิดตัวฟีเจอร์ชื่อ “instant personalization” ซึ่งเป็นการโต้ตอบแบบทันทีที่เปิดตัวในปี 2014 เพราะกฎนี้ การปิดฟีเจอร์ดังกล่าวทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถดูข้อมูลที่เพื่อนแชร์โดยเชื่อมโยงบัญชี Facebook กับบริการอื่นได้ อย่างไรก็ตาม Facebook ยอมรับว่า บริการ instant personalization ยังเปิดช่องให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ได้อยู่ในปีนี้
การแถลงการณ์ของ Facebook ถือว่าสั่นคลอนความมั่นใจให้ผู้บริโภคไม่กล้าคลิก “sign in with Facebook account” อีกต่อไป จุดนี้มีการหยิบคำมั่นสัญญาของ Mark Zuckerberg ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Facebook ที่ยืนยันกับฝ่ายนิติบัญญัติในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า ผู้ใช้ 2.2 พันล้านคนมีสิทธิควบคุมทุกอย่างที่แบ่งปันบน Facebook โดยไม่พูดถึงประเด็นว่า หลายคนไม่ทราบว่า ขอบเขตการควบคุมนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง
ข่าวนี้ถือเป็นอีกวิกฤตความเชื่อมั่นที่ Facebook ต้องเผชิญ โดยที่ผ่านมา หุ้น Facebook ลดลงเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ เนื่องจากบริษัทถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะกรณีอื้อฉาวของ แคมบริดจ์ อะนาไลติกา (Cambridge Analytica) รวมถึงการยอมรับของ Facebook เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พบข้อบกพร่องของซอฟต์แวร์ที่อาจอนุญาตให้แอปของบริษัทอื่น หรือ third-party เข้าถึงรูปส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook ได้อย่างไม่ควรเกิดขึ้น คาดว่าจะมีผลกระทบกับผู้ใช้มากกว่า 6.8 ล้านคน.