ผ่าแผน JD Central ดีลนี้ไม่ได้มีแค่ “E-Commerce” แต่ Next Step คือ “FinTech”

Thanatkit

ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เซ็นทรัล กรุ๊ปประกาศร่วมทุนกับเจดี ดอทคอมหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของวงการ E-Commerce จากเมืองจีน ด้วยวงเงินกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 17,500 ล้านบาท

แต่วงเงินทั้งหมดไม่ได้ทำเฉพาะธุรกิจ “E-Commerce” ภายใต้ชื่อ “JD.CO.TH” เพราะเงินที่ใส่เข้าไปเป็นเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกกว่า 8,750 ล้านบาท ถูกวางแผนสำหรับบุก “FinTech” ไว้ตั้งแต่แรกด้วย

ตามโครงสร้างธุรกิจ “E-Commerce” และ “FinTech” จะแยกกันบริหารอย่างชัดเจน โดยมีการจดทะเบียนแยกบริษัทเลย เมื่อลงลึกเข้าไปถึงธุรกิจ “FinTech” การถือหุ้นจะมาจาก 3 ส่วนคือ เซ็นทรัล กรุ๊ป ครึ่งหนึ่ง และที่เหลือถือโดยเจดี ดอทคอม กับ เจดี ดิจิทัล (JD Digital) บริษัทในเครือด้าน FinTech ซึ่งเปิดมาได้ 5 ปีแล้ว

โดยได้ตั้ง เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค โฮลดิ้ง เป็นบริษัทแม่ จดทะเบียนเมื่อ 5 เมษายน 2018 ด้วยทุน 1,586,462,300 บาท แจ้งประกอบกิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก หลังจากนั้นไม่นาน 23 เมษายน 2018 ก็ได้คลอดบริษัทลูกออกมาอีก 2 แห่ง คือ  

เซ็นทรัล เจดี มันนี่ ทุนจดทะเบียน 1,200,000,000 บาท แจ้งประกอบกิจกรรมบริการทางการเงินอื่นๆ (ยกเว้นกิจกรรมการประกันภัย และกองทุนบำเหน็จบำนาญ) ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น และ เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค ทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท แจ้งการให้สินเชื่ออื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น

หลังจากที่ปล่อยให้ฝั่ง E-Commerce บุกตลาดล่วงหน้ามาปีกว่าๆ ในที่สุดก็ได้เวลาที่ฝั่ง FinTech จะงัดโปรดักต์ที่ซุ่มทำมาเสียที โดยเริ่มต้นด้วยการจุดพลุแอปพลิเคชั่น e-Wallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นผลงานของ เซ็นทรัล เจดี มันนี่ภายใต้ซื่อ “Dolfin Wallet” (ดอลฟิน วอลเล็ท

ชื่อนี้มีที่มาจากการที่ e-Wallet ชื่อดังในต่างประเทศ มักตั้งชื่อให้เป็นสัตว์น้ำ อีกทั้งน้ำก็ถือเป็นสัญลักษณ์ของเงินด้วย เลยตั้งเอาโชคเอาชัย ตามประสาธุรกิจที่บุกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เสียหน่อย

เหตุที่ต้องเริ่มต้นด้วย “e-Wallet” เพราะปลายทางที่เซ็นทรัล เจดี ฟินเทควางไว้คือการเปิดบริการด้าน “E-Consumer Finance” การให้บริการ สินเชื่อออนไลน์ เป็นแผนธุรกิจที่ถูกบรรจุไว้ด้วย เพียงแต่การจะทำธุรกิจในโลกดิจิทัล “Data” หรือข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมี ด้วยการรู้พฤติกรรมของผู้บริโภควางไว้เท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูง เหมือนสุภาษิตที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค ก็ยอมรับว่า ความท้าทายของ Dolfin Wallet นั้น ต้องอ่านโจทย์ให้แม่น รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำต่อหรือหยุด ไม่ดื้อดึง เพราะนี่คือการจัดการของใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นการเริ่มที่ e-Wallet เพื่อมีข้อมูลเหล่านี้มาอยู่ในมือก่อน

การเป็นน้องใหม่ของวงการ e-Wallet แรงกดดันไม่ได้มาทีหลัง “TrueMoney” และ “Rabbit LINE Pay” แต่คนไทยยังติดใช้ เงินสด ยังไม่นิยมใช้ e-Wallet แทนเงินสด ที่สำคัญ ร้านที่รับ e-Wallet ยังไม่กระจายตัวมากพอ ยิ่งในต่างจังหวัดเลิกถามถึงได้เลย

ดังนั้นการแก้โจทย์แรกคือต้องขยาย ร้านค้า” รับชำระก่อน แทนที่จะติดตั้งจุดชำระเอง Dolfin Wallet ใช้วิธีจับมือกับธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมีเน็ตเวิร์กร้านค้าที่รับพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ดกว่า 3 ล้านร้านค้าทั่วประเทศ และธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมีจำนวนร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านเครื่อง EDC กว่า 300,000 จุด และร้านค้า K PLUS Shop อีกกว่า 1.7 ล้านราย รุ่งเรือง บอกว่าแค่ธนาคาร 2 เจ้าก็ครอบคลุมพื้นที่กว่า 80% แล้ว ยังไม่รวมร้านค้าที่อยู่ภายใต้เครือเซ็นทรัล

อีกทั้งการจับมือกับธนาคารทั้ง 2 ราย ยังสร้างจุดแตกต่างจาก e-Wallet อื่นๆ ตรงที่เป็น Open-loop รับชำระได้ทุกร้านค้าที่ใช้คิวอาร์โค้ด ต่างจากผู้เล่นรายอื่นที่เป็น Close-loop ใช้ได้เฉพาะจุดรับชำระของผู้ให้บริการ e-Wallet รายนั้นๆ

ส่วนเรื่องความปลอดภัย นำระบบ E-KYC (electronic know-your-customer) มาใช้ในการยืนยันตัวตน จดจำใบหน้า (face recognition) และอ่านตัวอักษรจากภาพถ่าย (OCR – optical character recognition) ถือเป็นรายแรกที่นำระบบ E-KYC  มาใช้ตามกฎใหม่ที่ ธปท.เพิ่งประกาศใช้

แม้วันนี้Dolfin Wallet” จะอยู่ในระหว่างการขออนุญาตจาก ธปท. ซึ่งคาดว่าอีก 2-3 เดือนก็สามารถเปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการได้ แต่ รุ่งเรืองได้ตั้งเป้าหมายในระยะเวลา 12 เดือนแรกจะมีผู้ใช้งาน 4-5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมาจาก 3 ส่วนได้แก่ ฐานสมาชิก The 1 Card จำนวน 15 ล้านคน, ผู้ใช้งานช่องทางดิจิทัลของธนาคาร และลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าในเครือเซ็นทรัล โดยปัจจุบันมากกว่า 50% ของยอดขาย 300,000 ล้านบาท ยังเกิดจากเงินสด

นอกเหนือจากการจูงใจด้วยแต้ม The 1 Card และส่วนลดต่างๆ แล้ว ยุทธวิธี Go to Market ของDolfin Walle” เน้นจะทำเป็นโลเคชั่น กระตุ้นให้ผู้บริโภคคุ้นชินกับการใช้จ่ายด้วย e-Wallet จากในย่าน CBD เช่น สยามสีลม อโศก ค่อยขยายไปสู่มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นกลุ่มรองที่อยากจะได้ก่อนขยายไปทั่วประเทศ

เมืองจีนเป็นภาพสุดท้ายที่อยากจะเห็น อะไรก็แล้วแต่ที่ใช้เงินสดจ่ายในปัจจุบัน เช่น ค่าอาหารกลางวัน 30-40 บาท ต่อไปอยากให้จ่ายด้วยดอลฟิน วอลเล็ท

เบื้องต้นหลังจากเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ การใช้ทำได้เพียงการชำระเงินซึ่งเติมโดย 2 ธนาคารที่จับมือ ส่วนธนาคารอื่นๆ ก็อยู่ระหว่างการพูดคุย ต่อไปจะสามารถหักจากบัตรเครดิตและเดบิตได้เลย.