กสิกรไทย สู้ศึกฟินเทค ส่ง “Beacon VC” อัดงบ 200 ล้านบาท ลงขัน “Jitta” สตาร์ทอัพสายวิเคราะห์หุ้น

สตาร์ทอัพสาย “ฟินเทค” ที่กำลังเติบโต ทำให้ธนาคารพาณิชย์ในเมืองไทยกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะนำเอาความสะดวกสะบายที่เติมเต็มด้วยเทคโนโลยี จะมา “Disruption” ให้ธนาคารตกที่นั่งลำบาก

ทางออกสำคัญที่เกือบทุกธนาคารพาณิชย์กำลังใช้คือ เปลี่ยนจาก “คู่แข่ง” ให้มาเป็น “คู่ค้า” ผ่านการตั้ง VC หรือ Venture Capital โดยนำ “เงินทุน” มาดึงดูดสตาร์ทอัพที่มีไอเดียอีกที

ดังเช่น ธนาคารกสิกรไทยที่ได้จัดตั้ง บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon Venture Capital) ในปี 2017 เพื่อเป็นหน่วยงานธุรกิจเงินร่วมลงทุน เน้นหนักที่กลุ่มเทคโนโลยีการเงินหรือ “ฟินเทค” รวมไปถึงสำหรับผู้บริโภคและองค์กรเพื่อมาต่อยอดธุรกิจของกสิกรไทย โดยมีขนาดของกองทุน 135 ล้านเหรียญสหรัฐ

ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด ยืนยัน “กสิกรไทยไม่ได้มองสตาร์ทอัพเป็นคู่แข่ง แต่มองเป็นพาร์ตเนอร์ที่ต้องช่วยกันสร้างบริการรูปแบบใหม่ๆ เพื่อสู้ฟินเทคจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นคู่แข่งที่แท้จริงให้ได้”

ถ้ามองในระดับโลกเม็ดเงินที่ลงทุนในสตาร์ทอัพกว่า 50% จะเป็นของ “ฟินเทค” ซึ่งในเมืองไทยมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น เพราะเมืองไทยขาดผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเงิน ไม่เหมือนในต่างประเทศ

“ผู้ก่อตั้ง” ถือเป็นปัจจัยหลักที่ Beacon VC ใช้มองเวลาจะเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพ เพราะหากผู้ก่อตั้งเก่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ ที่สำคัญถ้ามีผู้ก่อตั้งหลายคนต้องไม่แตกคอกันเอง เพราะจะสร้างควางความกังวลให้กับผู้ลงทุน ถึงทิศทางต่อไปของธุรกิจ

ที่ผ่านมา Beacon VC ลงทุนในสตาร์ทอัพไปแล้ว 5 ราย และกองทุนอีก 3 แห่ง ซึ่งสำหรับตัวกองทุนไม่ได้หวังผลกำไรเป็นหลัก แต่ต้องการเป็นคอนเนกชั่นของกองทุนเพื่อไปลงทุนในสตาร์ทอัพอื่นๆ เช่น “InstaReM” ซึ่งมีคนต่อคิวลงทุนพอสมควร แต่ Beacon VC ลงทุนได้เพราะเข้าไปลงทุนใน Vertex Venture แนะนำให้ ความร่วมมือนี้จึงเป็นที่มาของบริการ InstaReM ปรากฏให้ใช้ได้ในแอป K PLUS

ล่าสุด Beacon VC ได้ตัดสินใจใช้เงินอีก 200 ล้านบาท ลงทุนรอบ Pre-Series A ใน “Jitta” สตาร์ทอัพสัญชาติไทยด้าน WealthTech ที่เปิดมาแล้ว 5 ปีโดยมีบริการหลักคือ Jitta.com เทคโนโลยีวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น (fundamental analysis) ครอบคลุมหุ้น 16 ประเทศทั่วโลก

โดยเน้นแนะนำลงทุนบนพื้นฐานการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ตามหลักการของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ว่า “ลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม” ผ่านเทคโนโลยีจัดอันดับหุ้นน่าลงทุน Jitta Ranking โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2,200 ล้านบาท ปัจจุบัน Jitta.com มีสมาชิกเข้าใช้งานกว่า 200,000 คน จาก 128 ประเทศทั่วโลก

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุมจะถูกนำไปใช้เพิ่มทีมงานวิศวกรรมซอฟต์แวร์, ธุรกิจและเทคโนโลยีต่างๆ รวมไปถึงการนำเงินเข้าไปทำตลาดอย่างเป็นทางการในสิงคโปร์และอินเดีย

ที่สำคัญจะถูกนำมาพัฒนา Jitta Wealth” เทคโนโลยีบริหารกองทุนหุ้นอัตโนมัติ (automated stock investment) ลงทุนตาม Jitta Ranking ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ซึ่งบริการนี้เองเป็นเหตุผลหลักที่ Beacon VC มาลงทุน

ผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta อธิบายว่าเดิม Jitta ก่อตั้งด้วย Pain point ของนักลงทุนที่ว่า “ซื้อหุ้นอะไรและราคาเท่าไหร่”แต่หลังเปิดให้ใช้แล้ว Pain pointได้เปลี่ยนไปเป็น “อยากซื้อหุ้นที่ได้กำไร” ซึ่งโอกาสของ “Jitta Wealth” มาจากข้อมูลที่ว่า ประเทศไทยมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การดูแลสุทธิ (assets under management) 6 ล้านล้านบาทเติบโต 7.6% โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี

อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่มีเงินฝากนิ่งๆ แต่ยังไม่กล้าลงทุน โดยผู้มีเงินฝาก 1 แสนถึง 10 ล้านบาท ทั้งหมด 8.7 ล้านบัญชี เป็นเงินรวมกันประมาณ 5.7 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้นเอาตลาดมารวมกันเกือบ 12 ล้านล้านบาท ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก คิดว่าบริการเหล่านี้จะมาตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้

สำหรับการหารายได้จะมาจาก Jitta Wealth โดยคิดค่าบริการรายปี 0.5% ต่อปีส่วนแบ่ง 10% ของกำไรส่วน jitta.com แม้ก่อนหน้านี้ได้มีการคิดค่าบริการสำหรับข้อมูลเชิงลึก 300 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ยกเลิกไปในช่วงปลายปี 2017

โมเดลการหารายได้จะเน้น “Revenue sharing” แบ่งรายได้จากกำไร เพื่อต้องการสร้าง relationship ระยะยาว และช่วยให้ธุรกิจยั่งยืนได้

“เหตุผลที่ทำอย่างนี้ได้เพราะว่า Jitta มาจากเทคโนโลยีที่ต้นทุนต่ำและ Fix Cost ต่ำ จึงพยายามจะรักษาต่อไป แล้วไปวัดผลกำไรที่ลูกค้าจะได้รับ แม้มีคู่แข่งเข้ามาก็ไม่ได้กังวัลมากนัก”

ดังนั้นความท้าทายจึงอยู่ที่การพัฒนาอัลกอริทึมของ AI ให้ฉลาดและแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้คนทั่วไปเชื่อถือ และใช้ Jitta ดูแลพอร์ตลงทุนให้ ซึ่งการมีธนาคารกสิกรไทยและ Beacon VC มาลงทุนช่วยสร้างความเชื่อถือได้มากขึ้น.