“7-Eleven” ถือเป็นร้านสะดวกซื้อที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ หันไปทางไหนก็เจอ แล้วอยากรู้ไหมปี 2018 ที่เพิ่งผ่านไป “7-Eleven” ทำรายได้และกำไรเท่าไหร่?
จากรายได้ของ “ซีพี ออลล์” ในปี 2018 ทั้งหมด 527,860 ล้านบาท ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ หรือ “7-Eleven” ถือเป็นรายได้หลักถึง 59% จากธุรกิจทั้งหมด 3 กลุ่ม โดยทำยอดขายไปทั้งสิ้น 308,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.8% หรือ 30,092 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิก็ไม่น้อยหน้าฟันไปเนอะๆ 19,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 20% เลยทีเดียว
70.1% ของยอดขายมาจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ที่ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า 7-Eleven ขยันเสิร์ฟเมนูใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่อาหารพร้อมรับประทาน แต่ยังมีเครื่องดื่มสารพัดผ่าน “All Cafe” ที่วันนี้มีไม่ต่ำกว่า 2,000 สาขา นอกจากนี้ยังมีเสิร์ฟอาหารพร้อมปรุงในราคาไม่เกิน 50 บาท ยิ่งไปกว่านั้น 7-Eleven บางสาขายังทำหน้าที่เป็น “ตลาดสด” ขายทั้งผักสดและเนื้อสัตว์
ที่เหลือของรายได้อีก 29.9% มาจากสินค้าอุปโภคบริโภคแต่ไม่รวมบัตรโทรศัพท์ โดย 7-Eleven บอกว่ารายได้ในส่วนนี้เติบโตถึง 29.4% เหตุผลหลักมาจากยอดขายของบุหรี่ ที่ได้รับอานิสงส์ของการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 ที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่นั้น จากการกระตุ้นแคมเปญโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ให้สิทธิ์แลกซื้อสินค้า หรือสะสมแสตมป์แลกของที่ระลึก รวมไปถึงค่าแฟรนไชส์ ทำให้ 7-Eleven มีรายได้อื่นอีกจํานวน 18,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% หรือ 853 ล้านบาท
ปี 2018 7-Eleven ขยายสาขารวมทั้งสิ้น 720 สาขา โดยเฉพาะทำเลในชุมชนทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมไปถึงขยายในปั๊มน้ำมันปัจจุบันมีสาขาทั่วประเทศรวมกัน 10,988 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่เป็นของ “ซีพี ออลล์” เอง 4,894 สาขา เพิ่มขึ้น 364 สาขา และสาขาของแฟรนไชส์ 6,094 สาขา เพิ่มขึ้น 356 สาขา
โดยยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิมในปี 2018 มีอัตราการเติบโต 3.2% พบว่ามียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันอยู่ที่ 81,788 บาท มียอดซื้อต่อบิลโดยประมาณ 69 บาท ในขณะที่จํานวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 1,185 คน
สำหรับในปี 2019 “7-Eleven” วางแผนขยายสาขาไม่น้อยกว่า 700 สาขา วางงบลงทุนสำหรับเปิดสาขาใหม่ 3,800 – 4,000 ล้านบาท และปรับปรุงร้านเดิม 2,400 – 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ “7-Eleven” ได้กําหนดเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ภายในปี 2021
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2019 “ซีพี ออลล์” ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (Indicative Term Sheet) กับ 7-Eleven, Inc. สําหรับการได้รับสิทธิ์แฟรนไชสในการจัดตั้งและดําเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศกัมพูชาและประเทศลาว โดยคาดว่าจะดำเนินการเซ็นสัญญาให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2019
ขณะเดียวกัน “ซีพี ออลล์” ยังได้ตั้งบริษัทย่อยเพื่อดําเนินธุรกิจบริการจัดส่งพัสดุและสินค้า ภายในประเทศชื่อ “บริษัท ออลล์ นาว โลจิสติกส์ จํากัด” และการเปลี่ยนชื่อบริษัท ไดนามิค แมนเนจเม้นท์ จํากัด ซึ่งบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจบริหารจัดการคลังสินค้า เป็น “บริษัท ออลล์ นาว แมนเนจเม้นท์ จํากัด” ซึ่ง “ซีพี ออลล์” ได้วางงบสำหรับการทำตรงนี้ไว้รองรับมากถึง 4,000 – 4,100 ล้านบาท
ดูจากข้อมูลตรงนี้แล้วดูเหมือนว่าในปี 2019 น่าจะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาชิงตลาดขนส่งพัสดุด่วนที่ชื่อว่า “ซีพี ออลล์” ซะแล้ว.