“พฤกษา” ชูเทคโนโลยี-อาวุธดิจิทัลสู้ศึกอสังหาฯ

หลังจากประกาศนโยบายขับเคลื่อนองค์กรผ่าน Digital Transformation ในปีที่ผ่านมา ปีนี้ “พฤกษา” พร้อมเดินหน้าต่อด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือ  Inno-Tech ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาปรับใช้ในทุกกระบวนการทำงาน ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อรักษาผู้นำในตลาดอสังหาฯ และรับมือสถานการณ์การแข่งขันที่เข้มข้น

สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2561 พฤกษาทำยอดขายได้ 51,101 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เติบโต 7.5% จากปีก่อน มีรายได้อยู่ที่ 44,901 ล้านบาท เติบโต 2.2% และมีกำไรสุทธิ 6,022 ล้านบาท เติบโต  10.4%

ด้วยนโยบาย Digital Transformation นำเทคโนโลยีและเครื่องมือ “ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง” มาทำการตลาดในปีที่ผ่านมา พบว่ายอดขาย 50% หรือ 25,000 ล้านบาท มาจากลูกค้าที่ทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ โดยได้ฐานลูกค้าใหม่กว่า 4 แสนราย ที่จะมาต่อยอดในปีนี้  และปีที่ผ่านมาเว็บไซต์พฤกษามียอดผู้เยี่ยมชมเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจอสังหาฯ กว่า 12 ล้านครั้ง  

ปีนี้จึงเดินหน้าให้ “อาวุธ” ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ต่อเนื่อง โดยเปิดตัว แอปพลิเคชั่น Pruksa The Living ให้บริการด้านที่อยู่อาศัยภายในแอปเดียว ตั้งแต่เริ่มค้นหาที่อยู่อาศัย ข่าวสารและโปรโมชั่น ไปจนถึงการตรวจรับบ้านและเข้าอยู่อาศัย ได้แก่ การชำระค่าผ่อนดาวน์ รวมไปถึงระบบ Smart Home , Smart Facilities (จองพื้นที่ส่วนกลาง), Mail&Parcel แจ้งเตือนรับจดหมายหรือพัสดุ  โดยจะให้บริการลูกบ้านพฤกษา สมาชิก และในอนาคตจะให้เซอร์วิสบุคคลทั่วไป โดยมีพันธมิตรthird party เข้ามาร่วมให้บริการ

นอกจากนี้จะนำ Big Data ที่มีอยู่มาวิเคราะห์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เพื่อนำมาใช้พัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ การนำข้อมูลมาพัฒนาโปรดักต์และ Innovation Design สำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตรงกับความต้องการมากขึ้น

“การใช้ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ในทุก Customer Journey  และเฉพาะเจาะจงในกลุ่มที่มีความสนใจ  รวมทั้งพัฒนาด้านการบริการด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้แข่งขันในธุรกิจอสังหาฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ปีที่ผ่านมาพฤกษาใช้งบประมาณด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เพิ่มขึ้น “สองเท่าตัว” จากปี 2560  ปีนี้จะจัดสรรงบเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 30%  

โดยมองว่าเทรนด์อสังหาฯ ในปี 2562 จะเป็นการแข่งขันด้าน  สมาร์ท ลิฟวิ่งและสมาร์ท โฮม  รวมทั้งด้าน Co-living และบ้านมือสอง ซึ่งพฤกษา มองโอกาสที่จะเข้าไปทำตลาดตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในทุกตลาดเช่นกัน

ปี 62 ยอดขาย 5.4 หมื่นล้าน

แม้ปีนี้การแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯ ยังคงเข้มข้น รวมทั้งมีปัจจัยมาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะประกาศใช้ในเดือนเมษายนนี้  แต่มองว่าภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ยังเติบโตได้ 5% เนื่องจากยังมีเรียล ดีมานด์  โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งมีประชากร 16 ล้านคน แต่มีผู้ลงทะเบียนมีบ้าน 11 ล้านคน  ดังนั้นอีก 5 ล้านคนจึงเป็นโอกาสที่จะทำตลาดได้  

ดังนั้นปี 2562 พฤกษาตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 54,000 ล้านบาท เติบโต 5.7% รายได้ 47,000 ล้านบาท เติบโต 4.7% โดยมาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ 55 โครงการ มูลค่า 68,100ล้านบาท มียอดขายที่รอรับรู้ราย ณ สิ้นปี 2561 ที่ 33,233 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดสูงสุดเท่าที่ผ่านมาและเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 21,638 ล้านบาท

กลยุทธ์หลักในปี 2562 มุ่งรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนปรับ Portfolio ของกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มระดับกลางบนเพิ่มมากขึ้น และขยายโครงการใหม่ไปยังต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ อาทิ ขอนแก่น ระยอง สระบุรี และนครปฐม พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิมในตลาดแวลู

ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการไฮไลต์หลายโครงการ อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวสำหรับกลุ่มตลาดบนกับแบรนด์ The Palm รวมถึงมีการนำแบรนด์ IVY กลับมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์มากขึ้น

เปิดแบรนด์ใหม่ Chapter

ในปีที่ผ่านมาพฤกษาได้ทำการรีแบรนด์ในรอบ 25 ปี ปรับ Portfolio แบรนด์ที่อยู่อาศัยที่มี 48 แบรนด์ ให้เหลือ 13 แบรนด์ตรงกับกลุ่มเป้าหมายโปรดักต์ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม

แต่ปีนี้โปรดักต์คอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม จะถือเป็นตลาดหลักผลักดันการเติบโต เนื่องจากตลาดระดับกลางจะอยู่ในภาวะทรงตัว ขณะที่คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ราคา 3 แสนบาทต่อตารางเมตร มีการเปิดตัวจำนวนมากในช่วง 1-2 ปีก่อนและกำลังซื้อถูกดูดซับไปมากแล้ว

ดังนั้นเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดพรีเมียม พฤกษาจึงเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Chapter ซึ่งเป็นการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ เป็นราคาที่ยังมีโอกาสในการทำตลาด และทำให้กลุ่มพรีเมียมมีโปรดักต์ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย  จากปัจจุบันมีแบรนด์ Chapter One ราคา 3-5 ล้านบาท และแบรนด์ The Reserve ราคามากกว่า 10 ล้านบาท.