หลังตกเป็นกระแสลืออย่างหนัก บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เจ้าของสายการบิน แอร์เอเชีย ได้ตกลงจะซื้อหุ้น บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK จากกลุ่มจุฬางกูร ซึ่งถืออยู่ 55.13% แอร์เอเชียได้ชี้แจงว่าสนใจจริง และอยู่ระหว่างพิจารณาถึงความเหมาะสมในการลงทุน แต่ยังมิได้มีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด หากมีความคืบหน้าจะรีบแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
แอร์เอเชีย จึงถูกจับตามองทันทีว่า ดีลนี้จะจบลงได้เมื่อใด จะมีการซื้อขายหุ้นจริงหรือไม่
มาดูกันว่า ผลประกอบการของไทยแอร์เอเชีย (TAA) จะแข็งแรงเพียงใด โดย TAA ได้แสดงผลประกอบการประจำปี 2561 มีรายได้รวม 40,200.2 ล้านบาท กำไรรวม 70.0 ล้านบาท ขนส่งผู้โดยสาร 21.57 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ด้วยอัตราขนส่งเฉลี่ย (Load Factor) ร้อยละ 85 พร้อมตั้งเป้าปี 2562 รับเครื่องบินใหม่เพิ่ม 4 ลำ เจาะตลาด CLMV และอินเดียเพิ่ม
สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) และสายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า ปี 2561 ธุรกิจสายการบินต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเรายังคงยึดมั่นในการเป็นสายการบินราคาประหยัดที่มีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และทำงานกันอย่างหนักเต็มที่ นอกจากผลประกอบการดังกล่ราวแล้ว มีเครื่องบินรวม ณ สิ้นปี 2561 รวม 62 ลำ (เพิ่มขึ้น 6 ลำจากสิ้นปี 2560 ที่ 56 ลำ) โดยไตรมาส 4 ปี 2561 จำนวนผู้โดยสารฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการได้รับปัจจัยบวกของนโยบายของภาครัฐฯ ในมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ช่องทางอนุญาตด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) อย่างไรก็ตาม สำหรับ TAA ตลอดปี 2561 มีรายได้รวมอยู่ที่ 40,199.4 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 127.5 ล้านบาท
สำหรับปี 2562 สายการบินตั้งเป้าหมายรับเครื่องบินใหม่ เข้าประจำการฝูงบินอีก 4 ลำ รวมเป็น 66 ลำ ณ สิ้นปี 2562 โดยจะมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายบินที่หลากหลาย ทั้งการเพิ่มฐานปฏิบัติการบินภายในประเทศแห่งที่ 7 ที่จังหวัดเชียงราย การเพิ่มเส้นทางบินระหว่างประเทศใหม่ๆ จากฐานปฏิบัติการบินทั่วภูมิภาค โดยการเพิ่มสัดส่วนผู้โดยสารในตลาด CLMV และตลาดอินเดียเพิ่มจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เเข็งเเกร่งอยู่เเล้ว โดยตั้งเป้ายอดจำนวนผู้โดยสารตลอดปี 2562 ที่ 23.15 ล้านคน และอัตราส่วนขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ร้อยละ 86