จากจุดเริ่มต้น ของ โกดิจิทัล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Digital Real Estate Developer” ในปี 2017 “แสนสิริ” เดินแผนนวัตกรรม 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience ความสะดวกสบาย, iSafe ความปลอดภัย และ iGreen ประหยัดพลังงาน ขับเคลื่อนผ่าน “ดาต้า” ในมือ ก้าวต่อไปหลังจากนี้ คือการนำดาต้ามาใช้ ผ่านเทคโนโลยี AI
ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ก็ไม่แตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ทั้งการก่อสร้างเพื่อลดต้นทุน ที่สำคัญเพื่อรับมือกับผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลาย เรียกว่าเป็นความต้องการแบบเฉพาะเจาะบุคคล ซึ่งหากไม่ปรับตัวก็อยู่ได้ลำบากเช่นกัน
ส่อง 4 เทรนด์ Proptech
หากดูแนวโน้ม “พร็อพเพอร์ตี้ เทค” ในต่างประเทศ จะพบว่ามี 4 เทรนด์หลัก ประกอบด้วย
1. AI, IoT และ Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพื่อพัฒนาการออกแบบที่อยู่อาศัย การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย
2. Personalization การนำเสนอโปรดักต์และเซอร์วิสต่างๆ รวมทั้งการทำการตลาดและสื่อสารรายบุคคล
3. Hybrid Agent ตัวแทนซื้อขายผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ
4. Instant home buyer model แพลตฟอร์มซื้อและฝากขายที่อยู่อาศัย รวมทั้งทำหน้าที่แมทชิ่งดีมานด์กับซัพพลาย โดยมีระบบเอไอ ประเมินราคาที่อยู่อาศัยที่พร้อมซื้อและขายได้ทันที 24 ชั่วโมง ซึ่งแพลตฟอร์มสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยไว้เอง หากวิเคราะห์แล้วว่ามีดีมานด์ขายออกได้
เทรนด์ “พร็อพเทค” ดังกล่าว แสนสิริได้พัฒนาบริหารและใช้งานอยู่แล้ว และปีนี้ จะต่อยอดเรื่อง AI, IoT และ Blockchain มีเพียงเทรนด์เดียวที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา คือ Instant home buyer model
ลงทุน 600 ล้านเดินหน้า AI
ทวิชา กล่าวว่าปีนี้แสนสิริจะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพทางด้านเทคโนโลยี ผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี AI, IoT และ Blockchain โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยี ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก อาทิ Amazon Web Services, Digital Ventures และ Microsoft
แนวทางการพัฒนาโครงการ (Product) ได้ใช้เทคโนโลยี Home Automation สู่การเป็น Smart Home กับเทคโนโลยี AI และ IoT ที่เรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย นำเสนอความสะดวกสบาย ปลอดภัย ช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับ Amazon Web Services เพื่อพัฒนานวัตกรรม PorpTech ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ในอนาคต โดยเตรียมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง Smart Home ในไตรมาส 3 นี้
“แสนสิริ” วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ (AI First) ภายในปี 2020 โดยเทคโนโลยี AI จะมีความชาญฉลาดมากขึ้น สามารถแนะนำทำเลและโปรดักต์ที่เหมาะสมแบบรายบุคคล พร้อมทั้งสามารถสร้างสรรค์บริการ ที่ประสบการณ์แตกต่างให้กับลูกค้าบนโลกออนไลน์ และสร้างคอนเทนต์ ที่ตอบโจทย์ความสนใจเฉพาะบุคคล
ปั้นเวอร์ชวล แกลเลอรี่เร่งปิดการขาย
แต่สิ่งที่จับต้องก่อน คือ Virtual Sales Gallery จำลองสำนักงานขายของโครงการต่าง ชๆ มารวมกันไว้ที่ Sale Centre ให้ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมหลายๆ โครงการได้ในที่เดียวในไตรมาส 3 นี้ รูปแบบดังกล่าวสอดคล้องกับเทรนด์ Hybrid Agent ที่เป็นการสร้างประสบการณ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์
การที่ลูกค้าสามารถเห็นภาพจำลองโครงการทุกโครงการ โดยไม่จำเป็นต้องไปที่ Sales Gallery ที่ตั้งอยู่ในโครงการต่างๆ จะทำให้สามารถตัดสินค้าซื้อโครงการได้เร็วขึ้น
ตั้งแต่ลูกค้าสนใจซื้อที่อยู่อาศัย เริ่มค้นหาข้อมูล เดินทางไปดูที่สำนักงานขาย กระทั่งตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยจะใช้เวลาราว 6 เดือน เชื่อว่าหากจัด Virtual Sales Gallery จะทำให้กระบวนการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น โดเฉพาะคอนโดมิเนียมที่น่าจะใช้เวลาเพียง 3 เดือน นั่นหมายการปิดการขายโครงการต่างๆ ได้เร็วตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน จะพัฒนาระบบจองออนไลน์ (Booking Online) ที่สามารถจองโครงการต่างๆ ได้ 24 ชั่วโมง จากเดิมผู้ประกอบการมักเปิดให้จองออนไลน์เฉพาะช่วงจัดโปรโมชั่นเท่านั้น
นอกจากนี้ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น Home Service สำหรับลูกบ้านแสนสิริ รองรับลูกค้าในประเทศจีน ที่มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้แสนสิริ เพื่อให้บริการด้านโอนเงินผ่านแอปจากประเทศจีน คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ไตรมาส 2 ปีนี้
ลดต้นทุนก่อสร้าง 10-15%
แสนสิริ ได้นำเทคโนโลยี PropTech มาใช้ใน Value Chain โดยเฉพาะการบริหารการก่อสร้างออนไลน์แบบครบวงจร เริ่มจากการนำระบบ AI มาจัดหาและประเมินศักยภาพของ ”ที่ดิน” ก่อนซื้อมาพัฒนาโครงการ
จากนั้นนำระบบ BIM และ Primavera มาใช้บริหารจัดการและวางแผนการก่อสร้าง ตั้งแต่การออกแบบแบบจำลอง 3 มิติ (3D Model) ก่อนก่อสร้างจริง ติดตามความคืบหน้าการก่อสร้าง กำหนดระยะเวลาและงบประมาณการก่อสร้างได้แม่นยำขึ้น ทำให้การก่อสร้างโครงการเป็นไปตามระยะเวลาและงบประมาณที่วางไว้ ช่วยลดต้นทุนก่อสร้างลงได้ 10-15%
พร้อมนำ Inspection Mobile Apps มาใช้ตรวจสอบโครงการให้กับลูกบ้านก่อนส่งมอบ และจับมือกับ Digital Ventures นำ Blockchain มาใช้ในการพัฒนาประสิทธิภาพระบบจัดซื้อจัดจ้าง
จากกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่ดำเนินการมาต่อเนื่อง เชื่อว่าจะทำให้แสนสิริก้าวสู่ Thailand’s First Digital Real Estate Developer ผ่านเทคโนโลยี PropTech ที่จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัยในยุคนี้.