แม้ว่า “กลุ่มทีโอเอ” จะแตกไลน์ จับมือกลุ่มดองกิโฮเต้ (Don Quijote) นำอาคารสำนักงานในซอยทองหล่อ มาเปิดเป็นศูนย์การค้าดองกิ มอลล์ ทองหล่อ และดิสเคาท์สโตร์ ดองกิ จากญี่ปุ่นมาเปิดสาขาในไทย ให้ชาวไทยได้ช้อปกระจายกันไปแล้ว
แต่ในด้านธุรกิจ “สี” ของกลุ่มทีโอเอเวลานี้ ไม่ได้มองแค่ “ตลาดไทย” แต่ขอขยับขยายไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน CLMV
หากเปรียบเทียบ “จีดีพี” กลุ่มประเทศอาเซียน หลายประเทศมีแนวโน้มเติบโต “สูง” กว่าประเทศไทยที่ปี 2562 คาดการณ์อยู่ที่ 4% โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV เติบโตระดับ 7-8% อีกทั้งมีอัตราการขยายตัวของเมืองสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนอุตสาหกรรมก่อสร้างและตลาดสีทาอาคาร ส่งผลให้ “ทีโอเอ” ผู้เล่นจากไทยเข้าไปช่วงชิงโอกาสจากตลาดอาเซียนที่มีประชากร 600 ล้านคน
จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบัน ทีโอเอ เป็นผู้นำในตลาดสีทาอาคาร ในไทย มีส่วนแบ่งการตลาด 48.7% ปีที่ผ่านมามีรายได้ 16,347 ล้านบาท เติบโต 4% ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 7% จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว
“ตลาดไทยเราเป็นเบอร์หนึ่งและเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศอยู่แล้ว ปกติภาพรวมตลาดสีทาอาคารจะเติบโตในอัตราเดียวกับจีดีพี ช่วงที่ผ่านมามีตัวเลขไม่สูง ทีโอเอจึงเดินหน้านโยบายขยายตลาดอาเซียน ที่หลายประเทศจีดีพีเติบโตในอัตรา 7-8% ทำให้ตลาดสีขยายตัวในอัตราสูง และเป็นโอกาสสร้างการเติบโตของทีโอเอ”
สำหรับการทำตลาดไทยปีนี้ จะพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มแมส และกระตุ้นให้เกิดการทาสีซ้ำ ด้วยบริการครบวงจร เพราะตลาดหลัก 70% เป็นลูกค้าทั่วไป และอีก 30% เป็นลูกค้าโครงการ ปีนี้วางเป้าหมายรายได้เติบโต 7%
เปิด 3 โรงงานใหม่อาเซียน
ที่ผ่านมาทีโอเอได้เข้าไปตั้งโรงงานผลิตสีในกลุ่มอาเซียน ตั้งแต่ปี 2538 เริ่มที่ประเทศเวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชา รวม 7 แห่ง ส่วนในประเทศไทยมีโรงงาน 3 แห่ง รวมเป็น 10 แห่ง
ปีนี้จะเปิดโรงงานผลิตสีเพิ่มอีก 3 แห่งในกลุ่มอาเซียน ไตรมาส 2 เปิดโรงงานแห่งใหม่ที่อินโดนีเซีย มีกำลังการผลิต 7.8 ล้านแกลลอน ใช้เงินลงทุน 670 ล้านบาท ไตรมาส 3 เปิดโรงงานแห่งใหม่ที่เมียนมา กำลังการผลิต 3.4 ล้านแกลลอน ใช้เงินลงทุน 312 ล้านบาท และ ไตรมาส 4 เปิดโรงงานแห่งใหม่ที่กัมพูชา กำลังการผลิต 3.3 ล้านแกลลอน ใช้เงินลงทุน 254 ล้านบาท
หลังจากโรงงานทั้ง 3 แห่งใหม่เปิดดำเนินการในปีนี้ จะทำให้กำลังการผลิตทุกโรงงานในปี 2562 เพิ่มจาก 88 ล้านแกลลอน เพิ่มเป็น 102 ล้านแกลลอน หรือเพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน ปัจจุบันรายได้จากตลาดอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 14% วางเป้าหมาย 5 ปี จะเพิ่มเป็น 20-25%
อาเซียนเป็นตลาดที่อุตสาหกรรมสีทาอาคารยังเติบโตได้สูง จากการขยายตัวของพื้นที่เมืองและธุรกิจก่อสร้างและที่อยู่อาศัย
โรดแมปผู้นำตลาดสีอาเซียน
ประกรณ์ เมฆจำเริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา ทีโอเอ มุ่งขยายธุรกิจ สร้างการเติบโตในตลาด AEC ด้วยการรุกขยายช่องทางการจำหน่ายตลาดค้าปลีกในประเทศอาเซียน ปัจจุบันมีร้านจำหน่าย 2,484 แห่ง รวมทั้งการสร้างฐานผลิตสีในประเทศอินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชา เพื่อเร่งกาลังการผลิต รองรับตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์การทำตลาดอาเซียน คือ การสร้างฐานผลิตใหม่ในตลาดที่มีโอกาสเติบโต เนื่องจากอุตสาหกรรมสีทาอาคาร เป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก หากต้องนำเข้าจะมีต้นทุนค่าขนส่งสูง และไม่สามารถแข่งขันกลไกการตลาดและราคากับผู้ประกอบการที่มีฐานผลิตในประเทศได้ จะเห็นได้ว่าในอุตสาหกรรมผลิตสี แบรนด์ต่างๆ มักจะตั้งโรงงานผลิตในประเทศที่เข้าไปทำตลาด
พร้อมทั้งเร่งขยายช่องทางการจัดจาหน่ายเพิ่มขึ้น โดยการใช้จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ทั้งกลุ่มสีทาอาคาร ควบคู่กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ รวมถึงการกระจายเครื่องผสมสีอัตโนมัติในประเทศต่างๆ
นอกจากนี้จะเน้น “สร้างแบรนด์” ในตลาดต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากตราสินค้า “ทีโอเอ” ที่แข็งแกร่ง ไปปรับใช้ในการขยายธุรกิจ
จากข้อมูลของ Frost & Sullivan ปี 2559 ทีโอเอมีส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวในอาเซียน 13%