สังคมก้มหน้าทำ “ตลาดหมากฝรั่ง” ติดลบ! มอนเดลีซ แก้เกม ส่ง “เดนทีนเวฟ” ลุยตลาดวัยทีน หวังเป็น Game Changer พลิกกลับมาโต

กลายเป็นเรื่องน่าตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อช่วง 5 ปีมานี้ตลาดหมากฝรั่งติดลบในอัตรา 2 ดิจิมาตลอด จากก่อนหน้านี้ก็ติดลบ 1 ดิจิ ยิ่งปีที่ผ่านมาติดลบถึง 14% ส่งผลให้มูลค่าลดลงจาก 3,000 ล้านบาท เหลือเพียง 2,000 ล้านบาทเท่านั้น

สาเหตุสำคัญ คือ กลุ่มผู้บริโภคหลักอายุ 18 – 25 ปี ไม่ได้มองหมากฝรั่งเหมือนเดิมอีกต่อไป มองย้อนกลับไป 20-30 ปีที่ผ่าน มาการเคี้ยวหมากฝรั่งเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ “เท่” สำหรับวัยรุ่นยุคนั้น แต่เวลาผ่านมาทุกวันนี้คนที่มองว่าเท่ยังมีอยู่แต่น้อยลงมาก ซึ่งกลุ่มนี้หลักๆ คือผู้ใหญ่ที่เติบโตขึ้นมา ซึ่งเทรนด์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เมืองไทย ทั่วโลกก็เป็นด้วย

ในขณะเดียวกันกลุ่มคนที่กินหมากฝรั่งและลูกอม ต่างเป็นคนกลุ่มเดียวกันจึงเกิดการสลับฐานลูกค้าขึ้น ด้วยผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นในการสร้างความสดชื่น แทนที่จะเคี้ยวหมากฝรั่งซึ่งไม่คูลอีกแล้วก็หันไปกินลูกอมแทนอีกทั้งช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา หมากฝรั่งยังไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กระแทกใจมากพอจะดึงความสนใจ เห็นเพียงรสชาติใหม่ๆ เท่านั้น

จึงไม่ต้องแปลกใจ หากตลาดลูกอมมูลค่าราว 13,000 ล้านบาท จะโตเอาปีละ 10% สวนทางกับตลาดหมากฝรั่ง นี่ยังไม่นับรวมภาวะเศรษฐกิจที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ จนกำลังซื้อที่เคยมีหดหายไปอีกด้วย

แต่นั้นยังไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่คาดคิดจะมากระทบนั่นคือมรสุมดิจิทัลดิสรัปชั่น ที่พัดพามากระทบกับตลาดหมากฝรั่ง ซึ่ง ฐานันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ประจำประเทศไทย บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทยและ อันเดร โซเรียโน ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์หมากฝรั่ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล ร่วมกัน อธิบายว่า

หนึ่งในงานวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ยืนยันได้ว่ากระทบกับตลาดหมากฝรั่ง คือการที่คนรุ่นใหม่ไม่เคี้ยวหมากฝรั่งอีกแล้ว ในระหว่างที่รอทำกิจกรรมอื่นๆ เช่นรถขึ้นรถประจำทาง หันไปเล่นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือแทน ซึ่งต่างจากวัยรุ่นยุคก่อนเวลาไม่รู้จะทำอะไรก็จะหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาเคี้ยว

ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ที่พัดพามายาวนานกว่า 5 ปี ทั้งคู่ยังเชื่อว่าตลาดหมากฝรั่งจะสามารถ “Come Back” เป็นบวกได้อีกครั้ง แต่ต้องค้นหานวัตกรรมชิ้นใหม่ที่จะสามารถเป็นGame Changerด้

เพราะหากตลาดกลับมาเติบโตจะส่งผลดีกับมอนเดลีซซึ่งเป็นเจ้าตลาดมีส่วนแบ่ง 60.5% ก็ติดลบไปด้วยโดยมีเดนทีนเป็นแบรนด์หัวหอก รั้งตำแหน่งเบอร์หนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 52.2% ของตลาดตามมาด้วยคลอเร็ท 8.1% ที่เหลือเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ราว 5 แบรนด์ และแบรนด์เล็กๆ อีกไม่น้อยกว่า 10 แบรนด์ กลับมาหายใจได้คล่องคอมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่มอนเดลีซค้นพบ คือในขณะที่หมากฝรั่งในเซ็นเมนต์ช่วยให้ลมหายใจสดชื่น (Breath Refreshment) ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่ใหญ่ที่สุด กำลังได้รับผลกระทบจากลูกอม แต่เซ็กเมนต์ความเพลิดเพลิน (Sensorial) และความสนุกสนาน (Fun) ซึ่งลูกอมยังตอบโจทย์ไม่ได้ เพราะมีรสสัมผัสที่แตกต่างกันกลับไม่ได้รับผลกระทบและยังมีอัตราเติบโตราว 7% ในปีที่ผ่านมา

หากพูดถึงตลาดหดตัวฟังดูอาจเป็นภาพที่ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วผู้บริโภคแค่ย้ายไปลูกอม ไม่ได้เลิกซื้อสินค้าประเภทนี้ไปเลย เราจึงต้องกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าเกิดจะออกสินค้าใหม่ก็ต้องเรียนรู้จากอดีต เมื่อกลุ่มความเพลิดเพลิดและความสนุกสนานยังเติบโต เพราะลูกอมยังทดแทนไม่ได้ก็ต้องมุ่งไปทางนี้

มอนเดลีซก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปทันที โดยล่าสุดได้เปิดตัว เดนทีนเวฟ หมากฝรั่งแบบกรอบนอกนุ่มในผสมความเป็นลูกอมเข้ามาวางขายในเมืองไทย ด้วย 3 รสชาติ สไลม์ แพชชัน / รสราสพ์เบอร์รีเลมอนเนด / รสทรอปิคอล มินต์ ในรูปแบบซองราคา 29 บาท และแบบกระปุกราคา 49 บาท

เดนทีน เวฟ ได้เริ่มวางขายเมื่อ 3 ปีก่อนที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะขยายไปยังตะวันออกกลาง และปีที่ผ่านมาขยายเข้าไปในจีน ซึ่งประสบความสำเร็จทะลุเป้าเติบโต 20% ในเซ็กเมนต์หมากฝรั่งเพื่อความเพลิดเพลิน (Sensorial Segment) ภายใน 2 เดือน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่กว่า 60%

มอนเดลีซคาดหวังว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีน จะเป็นเช่นเดียวกับในเมืองไทย ถึงขนาดทุ่มงบการตลาด 60 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากการเปิดตัวสินค้าปรกติ เพราะเชื่อว่าสินค้าใหม่จะเข้ามาเป็นGame Changer ของสินค้ากลุ่มหมากฝรั่งที่วางขายอยู่ 40 SKU

เช่นเดียวกับตอนที่เปิดตัวฮอลล์เอ็กซ์เอส” (Halls XS) เมื่อ 3-4 ปีก่อน ได้เข้ามาเป็น Game Changer ของสินค้าลูกอม เพราะในตอนนั้นวางขยาย 25 บาท แพงกว่าลูกอมทั่วไปที่ขายเพียง 3 เม็ด 2 บาท แต่ด้วยนวัตกรรมที่ผู้บริโภคไม่เคยเจอมาก่อน จึงเติบโตมากินส่วนแบ่ง 10% ในตลาดและมีสัดส่วน 30% ในพอร์ต

การรุกทำตลาดอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะทำให้ภาพรวมตลาดติดลบน้อยกว่า 5% และสินค้ากลุ่มหมากฝรั่งของมอนเดลีซกลับมาเติบโต 1 ดิจิ และภายใน 2 ปีเติบโตมากกว่า 10% และเพิ่มส่วนแบ่งเดนทีนให้ถึง 65%

ปัจจุบันภายใต้พอร์ตสินค้าทั้งหมดของมอนเดลีซ ยอดขายหลัก 60% มาจากลูกอม หมากฝรั่ง และบิสกิต มีสัดส่วนกลุ่มละ 20% ที่เหลืออีก 10% เป็นช็อกโกแลตและอื่นๆ.