ASTV The Loyalty Network

ไม่มีอยู่ในตำราเล่มไหน หรือทฤษฎีการตลาดข้อไหน เมื่อเจ้าของสื่อสถานี ASTV ได้กลายเป็นเจ้าของ “เครือข่ายการค้า” ภายใต้แบรนด์ เอเอสทีวี เป็นการตลาดรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเกิดจากความลอยัลตี้อันเหนียวแน่นของคนดูและสื่อร่วมอุดมการณ์ทางการเมือง และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก่อเกิดแฟนพันธุ์แท้กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นฐานลูกค้าชั้นดีให้กับสินค้าเอเอสทีวี ที่วันนี้ได้แตกขยายไลน์สินค้าและช่องทางจำหน่าย กลายเครือข่ายการค้ามาแรงที่สุดเวลานี้

Brand Loyalty เหนียวแน่น

คงไม่มีสินค้าชนิดไหนที่มีความเป็นแบรนด์ลอยัลตี้สูงถึงเพียงนี้ เมื่อลูกค้าร่วมใจซื้อสินค้าเพื่อไม่ต้องการให้สถานีโทรทัศน์ที่ร่วมอุดมการณ์ ที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องปิดตัวลง ดังเช่นสินค้า ASTV ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้

“เอเอสทีวี ถือกำเนิดมาจากการร่วมชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยเพื่อประชาชน โดยมีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ทำหน้าที่ถ่ายทอดสดการชุมนุม จนถูกตราหน้าว่า เป็นสื่อเพื่อการเมือง จึงถูกปฏิเสธจากเอเยนซี่และเจ้าของสินค้าไม่กล้านำสินค้ามาลงโฆษณา เพราะกลัวว่าจะได้รับผลกระทบจากอำนาจรัฐในเวลานั้น” “จิตตนาถ ลิ้มทองกุล” ประธานกรรมการบริหาร เครือเอเอสทีวี ที่รับผิดชอบธุรกิจสื่อทั้งหมดในเครือผู้จัดการ รวมถึงกรรมการบริหาร บริษัทเอเอสทีวี โปรดักต์บริษัทใหม่ที่ดูแลเครือข่ายสินค้าเอเอสทีวี เล่าถึงที่มา

คำปฏิเสธของเอเยนซี่สวนทางกับความเป็นจริง กลับมีคนดูเยอะมาก เรตติ้งเป็นอันดับ 1 ในเคเบิลทีวีท้องถิ่น แม้กระทั่งฟรีทีวี จะตามก็แค่ช่อง 3 และช่อง 7 ส่งผลให้ ASTV ต้องดิ้นรนหารายได้มาจุนเจือไม่ให้สถานีโทรทัศน์ต้องปิดตัวลง

“ตอนนั้นสถานีโทรทัศน์ ASTV เรามีปัญหาเรื่องเงิน ไม่รู้จะอยู่ได้หรือเปล่า คุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) บอกว่า น่าจะมีผลิตภัณฑ์ที่ค้าขายกันเองในกลุ่มที่เป็นแฟนของ ASTV เพื่อนำมาหล่อเลี้ยง ASTV แม้การชุมนุมจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่แนวคิดเหล่านี้ยังมีอยู่ มีพันธมิตรฯ ที่เป็นผู้ประกอบการหลายรายที่อยากช่วย ASTV ก็นำสินค้ามาเสนอ จึงมาได้ข้อสรุปกันที่ การขายข้าว เป็นผลิตภัณฑ์แรก เพราะมองว่า อย่างไรเสียคนก็ต้องกิน และยังได้ช่วยเกษตรอีกด้วย”

จาก “ข้าวสาร” ผลิตภัณฑ์แรกซึ่งมีข้าว 4 ชนิด คือ ข้าวหอมมะลิ 100% ข้าวกล้อง ข้าวขาว ข้าวกล้องและข้าวผสม โดยลูกค้ากรุงเทพฯและปริมณฑลสั่งซื้อผ่าน Call Center และมีบริการส่งตรงถึงบ้าน ส่วนต่างจังหวัด ร้านค้าที่สนใจสั่งผ่าน Call Center จากนั้นผู้ผลิตข้าวจะจัดส่งสินค้าให้อีกต่อ

“เมื่อข้าวได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี เราก็คิดเพิ่มสินค้าอื่น สินค้าอุปโภคบริโภค สบู่ ยาสีฟัน เป็นสิ่งที่ต้องซื้อใช้ประจำอยู่แล้ว แทนที่จะไปซื้อกับคนอื่นก็มาซื้อกับเรา กำไรที่ได้ก็นำมาจุนเจือสถานีโทรทัศน์ ASTV ไม่ต้องขอเงินบริจาค หรือต้องเพิ่มทุนตลอดเวลา เลยคิดกันว่าจะทำเล่นๆ ไม่ได้ เลยวางโครงสร้างขึ้นมา”

เพิ่มระบบ Call Center รองรับกับการเปิดรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โทรสั่งซื้อ จากนั้นมีบริการจัดส่งถึงบ้าน

ช่องทางต่อมา คือ ผ่านตัวแทนขาย หรือเอเย่นต์ ให้กับลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัด สามารถติดต่อนำสินค้าเอเอสทีวีไปขาย โดยร้านค้าจะเปิดบัญชีซื้อสินค้าก่อน 2 หมื่นบาท เป็นค่าแรกเข้า จากนั้นก็เติมสินค้าครั้งละ 5 พันบาท ด้วยเงื่อนไขง่ายๆ ไม่ต้องใช้เงินทุนมาก ทำให้มีเครือข่ายร้านค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ 600 กว่าแห่ง ในจำนวนนี้มีทั้งที่เป็นร้านโชห่วย นำสินค้าเอเอสทีวีไปเปิดขายเป็นเซ็กชั่นโดยเฉพาะ หรือบางรายที่มีร้านคอมพิวเตอร์ แบ่งพื้นที่ในร้านเปิดขายสินค้าเอเอสทีวี

อีกโมเดลการขายที่เป็น “ความเฉพาะตัว” ที่ไม่เหมือนเครือข่ายใด คือการไม่มีระบบ “เอเย่นต์ภาค” จิตตนาถให้เหตุผลว่า เขาไม่ต้องการให้เกิดระบบผูกขาด ร้านเล็กๆ ก็ต้องวิ่งไปหา หรือมีมาเฟียกักตุนสินค้า ให้ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน มาร่วมขายสินค้าในเครือข่าย ASTV
“อย่างบางจังหวัด ร้านในกำแพงเพชร เขาใช้วิธีสั่งสินค้า ASTV เป็นจำนวนมาก และไปแบ่งขายให้ร้านค้าอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกันอีกทอดหนึ่ง ขอเปอร์เซ็นต์ 2-3% จากร้านที่มารับซื้อต่อ เราก็ให้เขาไปจัดการกันเอง แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่เรากำหนด”

ที่น่าสนใจ พันธมิตรบางรายเปิดให้พันธมิตรจากทั่วประเทศมาร่วมลงขันพันหุ้นๆ ละ 500 บาท เปิดเป็น “เอเอสทีวีช็อป” ขายสินค้าเอเอสทีวีอย่างเดียว ขณะที่บางแห่งนำระบบสหกรณ์มาใช้ วิธีนี้ทำให้ มีเอเอสทีวีช็อปกระจายเปิดในหลายจังหวัด เช่น สุราษฎร์ธานี มี 7-8 สาขา ซึ่งกำลังจะเปิดให้ครบทุกอำเภอ แม้แต่ในจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี บุรีรัมย์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “พื้นที่ของกลุ่มเสื้อแดง” ก็ยังมีร้าน เอเอสทีวีช็อปแล้วถึง 4 สาขา

นอกจากระบบสั่งซื้อผ่าน Call Center ส่งตรงถึงบ้านและ ร้านเอเย่นต์ ล่าสุดอยู่ระหว่างการเปิดเอเอสทีวีช็อป ตรงมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน บ้านเจ้าพระยา เพื่อเป็นร้านต้นแบบของ “โชห่วยยุคใหม่ ที่จะเผยโฉมในอีกไม่กี่เดือน

“ร้านโชห่วยหลายร้านตามต่างจังหวัด กำลังจะต้องปิดตัวลง เพราะสู้เซเว่น อีเลฟเว่นไม่ไหว พอมีสินค้าเราเข้าไปขาย เขาก็อยู่ได้ เพราะสินค้าต่าง มีลูกค้าแน่นอน ผมบอกเสมอว่าถ้าร้านโชห่วยสู้เซเว่นฯ ได้ สินค้าคุณต้องแตกต่าง เท่ากับว่าเอเอสทีวีเราเข้าไปช่วยให้โชห่วยอยู่ได้”

ขยายสู่ระบบขายตรง

อีกช่องทางที่จะมีบทบาทต่อไป คือ ระบบขายตรง ซึ่งอยู่ระหว่างรับสมัครตัวแทน เพื่อรองรับกับสินค้ารายการใหม่ๆ เช่น ประกันวินาศภัย การขาย พ.ร.บ.รถยนต์ ชั้น 1, 2, 3 เรื่องท่องเที่ยว และอาหารเสริมสุขภาพ – เสริมอาหาร ซึ่งเป็นตลาดที่จิตตนาถมองว่า ยังมีโอกาสอีกมาก ทั้งความหลากหลายของสินค้า ที่ได้สูตรดีๆ มากมาย และการหาทีมงานที่ใช้วิธีง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อให้มีคนมาเข้าร่วมมากๆ
“ระบบขายตรง ไม่ซับซ้อน ไม่มีขั้นเหมือนไดเร็กมาร์เก็ตอื่นๆ แค่ เปิดบัญชีแรกเข้า 1 หมื่นบาท เติมของได้ 5 พันบาท แต่จะเป็นสินค้าในไลน์นี้เท่านั้น เช่น อาหารเสริม ฟาร์มาซูติเคิล เช่น ขายชิ้นหนึ่งได้ส่วนแบ่ง 20% ส่วนเขาจะไปรวมกลุ่มกันขาย ก็เป็นเรื่องของเขา นี่คือหลักของเรา ”

สินค้าคุณภาพเท่าขายตรง ราคาเท่าห้างโลตัส

จุดเด่นของสินค้าเอเอสทีวี คือ คุณภาพของสินค้าเทียบเท่าสินค้าขายตรง แต่ขายในราคาที่คนทั่วไปสามารถหาซื้อได้ตามห้างเทสโก้ โลตัส หรือบิ๊กซี ทำให้ผลิตภัณฑ์อย่างยาสีฟันยี่ห้อกรีนเซเว่นซึ่งคุณภาพเท่ากับแอมป์เวย์ขายดีมาก เดือนละ 2 หมื่นกว่าหลอด สบู่ดอกปีบ ขายเดือนละ 5 หมื่นก้อน

สินค้าตัวเด่นอีกตัวที่คนนิยมใช้กันมาก คือ “ปุ๋ยขวัญดิน” ของ พ.ต.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งมีจุดเริ่มมาจากการที่ต้องการช่วย ASTV ไม่ให้จอดับ แต่ปรากฏว่าคุณภาพของปุ๋ยทำให้เกิดการบอกต่อจนกลายเป็นสินค้าขายดีอันดับต้นๆ

“ปุ๋ยอินทรี ไม่ค่อยมีใครทำตลาดกัน ลุงจำลองเขามีสูตร และให้โรงงานผลิต ซึ่งเขาจะส่งคนไปนอนคุมโรงงานผลิตปุ๋ย ดังนั้นโรงงานปุ๋ยจะปลอมปุ๋ยไม่ได้ ปัญหาส่วนใหญ่ที่คนขายปุ๋ยเจอ เวลาไปจ้างโรงงานปุ๋ย จะมีการปลอมปุ๋ยขาย แต่ของลุงจำลองไม่มีปัญหานี้ พอคนซื้อไปใช้ก็ชอบ เขาก็บอกต่อกัน ก็กลายเป็นว่าปุ๋ยของลุงจำลองช่วยผลผลิตการเกษตรมหาศาล เป็นปุ๋ยซ่อมแผ่นดิน เดือนแรกขายได้ 5 ล้านบาท จากนั้นเพิ่มเป็น 7 ล้านบาท เวลานี้เพิ่มเป็น 25 ล้านบาท และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

จากข้าว และปุ๋ย ผ่านไป 10 เดือน เวลานี้มีผลิตภัณฑ์ที่วางขายแล้ว 70 รายการ และปีหน้าขยายไปถึง 200 รายการ ครอบคลุม 7 ประเภท (ล้อมกรอบ) เพื่อรองรับความต้องการทุกกลุ่มเป้าหมาย

การขยายผลิตภัณฑ์ของเครือข่ายเอเอสทีวีเป็นไปอย่างน่าสนใจ สินค้าเหล่านี้มาจากผู้ผลิตสินค้าเจ้าของสูตรต่างๆ ที่มีอยู่จำนวนมาก ทั่วประเทศ แต่ไม่เคยได้รับโอกาส หรือมีที่ทางไปวางขายในห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด ก็ต้องเสียค่าวางสินค้าสูงมาก กว่าจะได้เงินก็ต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน เมื่อไม่ใช่ผู้ผลิตรายใหญ่ มักจะถูกบีบให้ผลิตป้อนเฮาส์แบรนด์ให้กับห้างสรรพสินค้าแทน

“อย่าง สบู่ สมุนไพรดอกปีบ ที่มาขายผ่านเครือข่ายเอเอสทีวี เขาเคยไปเสนอเซเว่นฯ แล้วไม่รับ เพราะแพ็กเกจจิ้งดูบ้านๆ พอเขามาคุยกับเรา เราออกแบบแพ็กเกจจิ้งให้ใหม่ เรารู้ว่าสูตรเขาดี เป็นสบู่เอ็นไซม์ ราคาไม่แพง เวลานี้เดือนนึงขายได้ 5 หมื่นก้อน ผู้ผลิตสินค้ามีสูตรดีๆ มีอยู่เยอะมาก มีเงินแค่ 2-3 แสน ก็สร้างแบรนด์ขายสินค้าได้แล้ว ผมถือว่าไม่ใช่เงินเยอะเลย เวลานี้มีคนเดินมาเสนอสินค้าวันละ 5-6 ชนิด”

การผลิตขายผ่านเครือข่ายเอเอสทีวี จะมีระบบที่วางไว้ ให้ผู้ผลิตใช้แบรนด์เป็นของตัวเอง โดยมีโลโก้ของเอเอสทีวีเพื่อการันตีการขายผ่านเครือข่ายเอเอสทีวี ดูแลออกแบบแพ็กเกจจิ้ง โปรโมตผ่านสื่อในเครือ และที่สำคัญ “เคลียร์เงิน” ทุก 15 วัน ผู้ผลิตก็มีเงินหมุนเวียนเร็ว ไปเพิ่มกำลังการผลิต

ส่วนการจัดสรรรายได้ระหว่างเอเอสทีวีและผู้ผลิต จะเป็นลักษณะที่ผู้ผลิตส่งสินค้าให้เอเอสทีวีในราคาต้นทุนบวกกำไรแล้ว จากนั้นเอเอสทีวีจะไปตั้งราคาขายปลีกอีกต่อ โดยบวกค่าใช้จ่าย เช่น ค่าคอลเซ็นเตอร์ ค่าจัดส่งสินค้า ส่วนกำไร จะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างน้ำปลา ซีอิ๊ว กำไรน้อยมาก อาจจะได้แค่บาทเดียว แต่ถ้าเป็นเวชภัณฑ์ ขายได้น้อยกว่า แต่ส่วนแบ่งอาจได้ 20-30%
จิตตนาถบอกว่า ถ้าจะพัฒนาสินค้ามีพัฒนาคุณภาพตลอดเวลา ก็ต้องเพิ่มมาตรการใหม่ โดยให้ผู้ผลิตต่อสัญญาทุก ๆ 6 เดือน อาจมีการปรับข้อตกลงกันใหม่ เพื่อให้ผู้ผลิตตื่นตัว ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และรักษาคุณภาพได้ตลอด

รวมถึงการเพิ่มผู้ผลิตในไลน์สินค้าเดียวกัน ที่เป็นไลน์ขนาดใหญ่ อาจมีผู้ผลิต 2-3 ราย เพื่อให้เกิดการแข่งขัน และควบคุมคุณภาพระหว่างกัน

เขตปลอดสีเสื้อ

เมื่อสินค้าคุณภาพดี ผู้ใช้บอกต่อ วันนี้สินค้าเอเอสทีวีไม่ได้มีเฉพาะลูกค้าที่เป็นพันธมิตรฯ ด้วยกันเท่านั้น มีลูกค้าทั่วไป หรือแม้แต่เสื้อแดง ทำให้มีร้านค้าเอเอสทีวีหลายแห่งเปิดในพื้นที่ของเสื้อแดง อย่าง อุดรธานี และบุรีรัมย์

นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ซึ่งสะท้อนว่าสินค้าเอเอสทีวีก้าวข้ามเส้นแบ่งความเป็น “สีเสื้อ” ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง หรือสีแดง ก็เป็นลูกค้า ASTV ได้ หากสินค้าดีจริง

“เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกๆ เดือนจะมีคนมาที่บ้านเจ้าพระยา เปิดแค็ตตาล็อกเลือกช้อปกัน ซึ่งลูกค้าเหล่านี้ไม่ได้มีแค่เครือข่ายมิตรรักแฟนเพลงของพันธมิตรเท่านั้น แต่มีลูกค้าทั่วไปที่ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรก็ตาม หรือแม้แต่สีแดงก็มาซื้อสินค้าของเอเอสทีวี”

บทสรุปความสำเร็จ

ความสำเร็จของการขยายจากสื่อสร้างเครือข่ายสินค้า ภายใต้แบรนด์ เอเอสทีวี เป็นการพิสูจน์ ถึงพลังของลูกค้า และคนดูเอเอสทีวี
“ความสำเร็จที่ผ่านมาถือว่าเป็นการตบหน้าเอเยนซี่ทั้งหลาย ที่บอกว่ามีแต่เรื่องการเมืองไม่มีคนดู คิดดูว่าเวลานี้มีคนที่ซื้อสินค้าเอเอสทีวีร่วม 50 ล้านบาท จากเดือนแรกไม่ถึงหนึ่งล้านบาท” จิตตนาถสะท้อน และสรุปความสำเร็จที่ผ่านมาไว้ว่า

ข้อแรก – ความเป็นแบรนด์ลอยัลตี้ของ ASTV ที่มีแฟนพันธุ์แท้ร่วมอุดมการณ์อยู่ทั่วประเทศ แสดงถึงความเหนียวแน่นของแฟนกลุ่มนี้
ข้อสอง – นำมุมมองของ New Player มาใช้ เช่น การไม่มีเอเย่นต์ภาค ไม่มีมาเฟีย เอเย่นต์ใหญ่ และทำให้การขยายร้านค้าทำได้เร็ว
ข้อสาม การตลาดไม่ซับซ้อน

“ทำอย่างไรให้มันซิมเปิล เอาตัวราเป็นผู้บริโภค และเอาตัวเราเป็นผู้ผลิตสินค้า เป็น Nobody ที่อยากทำสินค้า ดูว่าเราขาดอะไรบ้าง ต้องการอะไร เราคิดแบบซิมเปิลที่สุด ให้ซื้อขายได้ง่ายที่สุด ร้านค้าแฮปปี้ คนซื้อแฮปปี้ ผู้ผลิตแอปปี้ เน็ตเวิร์คแฮปปี้ แค่นี้เอง”

อีก 5 ปี โตยิ่งกว่าแอมเวย์

วันนี้ คนซื้อสินค้า ASTV เพราะความเป็นลอยัลตี้ในแบรนด์อันเหนียวแน่น เมื่อบวกกับคุณภาพสินค้า ทำให้เอเอสทีวีก้าวพ้นจากการแบ่ง “สีเสื้อ” จางลง และพร้อมจะเติบโตไปสู่การเป็นเครือข่ายการค้าที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

“ขนาดว่าเรายังไม่ได้โปรโมตนอกเครือข่าย ASTV ถ้าเราทำการตลาดเต็มรูปแบบ มีช่องทางขายตรงเพิ่มขึ้น มีคนมาเป็นเอเย่นต์ให้กับเรา ขยายไลน์สินค้าอย่างจริงจัง ยอดขายเราจะเพิ่มขึ้นอีกมาก

จิตตนาถ เชื่อว่า ในอนาคต 5 ปีข้างหน้าคนจะซื้อสินค้า ASTV เพราะความเป็น Network ที่เขาฝากชีวิตไว้ได้ ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน มีสินค้าที่เขาต้องการ และส่งตรงถึงบ้าน”

ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไรก็ตาม จิตตนาบอกว่า เครือข่ายเอเอสทีวียังต้องอยู่ จะดังยิ่งกว่าการต่อสู้ทางด้านการเมือง จะก้าวไปสู่ระบบขายตรงที่ไม่ต่างจากเครือข่ายมิสทิน แอมเวย์ เป็นไทยเข้มแข็งจริงๆ นี่คือความหมายของเครือข่ายสินค้าเอเอสทีวี ที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทยอย่างแท้จริง”

ข้าวธัญญทิพย์ Case Study ที่ต้องศึกษา

ต้องยอมรับว่าแบรนด์เอเอสทีวี คือความมีลอยัลตี้ในตัวแบรนด์สูงมาก ไม่เหมือนกับเครือข่ายใดมาก่อน

ดังเช่นกรณีปัญหาที่เกิดกับเอเอสทีวี และข้าวธัญทิพย์ในเวลานี้ ถือเป็น Case Study สะท้อนความหมายดังกล่าวอย่างน่าสนใจ
ข้าวธัญทิพย์ เป็นแบรนด์ข้าวยี่ห้อแรกที่เอเอสทีวีบอกเลิกสัญญา เหตุเพราะแอบยัดไส้ ขายข้าวยี่ห้ออื่นให้กับลูกค้าเอเอสทีวี

“พอลูกค้าสั่งข้าวธัญญทิพย์มาที่คอลเซ็นเตอร์ของเอเอสทีวี เขากลับไปส่งข้าวยี่ห้อมาแล้วจ้าที่เขาทำแบรนด์ขึ้นมาใหม่และขายเอง ให้ลูกค้าของเรา คนส่งของเขายังใส่เสื้อเอเอสทีวี ลูกค้าเลยถาม เขาก็บอกว่าเป็นข้าวจากที่เดียวกัน”

นอกจากนี้ ธัญญทิพย์มักจะแจ้งยอดขายที่มักจะไม่ตรงกัน โดยยอดผ่านคอลเซ็นเตอร์น้อยกว่าคยอดขายจริงเกือบครึ่งทุกครั้ง ซึ่งปกติตามข้อตกลงต้องแจ้งยอดขายทุกครั้ง

เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ เอเอสทีวีจึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ซึ่งหมดลงเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พร้อมกับออกจดหมายชี้แจงต่อลูกค้า ทางธัญญทิพย์จึงรีบออกจดหมายที่ใช้ตราเอเอสทีวีซึ่งไม่ได้รับใบอนุญาตจากเอเอสทีวี ไปให้ส่วนลดราคาพิเศษ 15% เพื่อต้องการระบายสินค้า

“ลูกค้าเอเย่นต์หลายคนไม่เอะใจ สั่งสินค้าไปเยอะเลย เอเอสทีวีจึงชี้แจงใหม่ว่า ถ้าสั่งซื้อข้าวตรามือ ธัญญทิพย์ ก่อน 1 ธันวาคม ถือว่ารายได้ยังช่วยเหลือเอสเอทีวีอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับเอเอสทีวีแล้ว ปรากฏว่ามีคนซื้อโทรไปด่าเขา และไม่ซื้อของเขาเลย เขาก็เลยอ้างว่าได้รับเสียหายจากที่เราไม่ต่อสัญญาให้ และถือโอกาสไม่จ่ายเงินส่วนแบ่งขายข้าวที่ยังค้างอยู่ 2 เดือน และค่าคอลเซ็นเตอร์ให้เรา รวมเป็นเงิน 1 ล้าน 7 แสนบาท และมาด่าหาว่าเราโลภ เรียกเก็บเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งเขามากไป ทั้งๆ ที่ตกลงกันแล้วในการต่อสัญญาใหม่ จะเพิ่มจาก 4% เป็น 8%”

เมื่อเกิดปัญหาแบบนี้ลักษณะนี้กับเอเอสทีวี ข้าวธัญญทิพย์ขายไม่ออกทันที เพราะต้องไม่ลืมว่าแรงซื้อที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะธัญญทิพย์ แต่เพราะต้องการช่วยเหลือสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ เพื่อไม่ให้จอดำ
บทเรียนครั้งนี้น่าจะสะท้อนได้ว่า เพราะไม่มีสินค้ายี่ห้อใดที่จะมีแบรนด์ลอยัลตี้เท่านี้

7 ประเภท สินค้าเอเอสทีวี

1.สินค้าอุปโภค บริโภค ครอบคลุมการใช้ตั้งแต่ตื่นจนถึงหลับ เช่น ข้าว น้ำปลา ยาสีฟัน ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน สบู่ แชมพู
2.เวชภัณฑ์ และเวชสำอาง ลักษณะเดียวกับสินค้าที่หาซื้อตามได้ร้านบูธ
3.สินค้าสุขภาพ อาหารเสริม – เสริมอาหาร
4.สินค้า OTOP ของผู้ผลิตแต่ละพื้นที่ กะปิคุณภาพดีของจังหวัดต่างๆ
5.มัลติมีเดีย ซีดี เพลง หนังสือ ในเครือ ASTV เช่น หนังสือล้มเจ้า ติดอันดับขายดีที่สุด
6.สินค้าบริการ เช่น ประกันวินาศภัย รับต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ ท่องเที่ยว ประกันชีวิต
7.สินค้าออร์แกนิก เช่น ข้าวออร์แกนิก ปุ๋ยอินทรี สินค้าที่มาจากสมุนไพร