“มาร์เก็ตเพลส vs เว็บไซต์แบรนด์” ได้ประโยชน์ต่างกัน ทำความเข้าใจก่อนลุย E-commerce

ปรากฏการณ์เติบโตของการซื้อของออนไลน์ กลายเป็นกระแสหลักให้ทุกธุรกิจต้องขยับตัวเข้าสู่ e-commerce อีกช่องทางขายในยุคออนไลน์บูม แต่การทำให้ได้ผล ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสินค้าใดเหมาะ เพราะ e-commerce อาจไม่ได้เป็นการทดแทนช่องทางขายเดิม แต่เป็นการเพิ่มยอดขายอีกทางหนึ่ง รวมทั้งการทำตลาดบน “มาร์เก็ตเพลส” และ “เว็บไซต์แบรนด์” แตกต่างกัน

ศุภฤกษ์ ตังเจริญศิริ กรรมการผู้จัดการ รีไพรส์ ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย กล่าวว่า หากดูพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ทำกิจกรรมต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต พบว่าที่มาเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 90% คือ เสิร์ชหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการซื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาด “อีคอมเมิร์ซ” เติบโต และธุรกิจต่างๆ ต้องมุ่งสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ยังพบว่า 85% เมื่อหาสินค้าเจอ จะไปที่ “ร้านค้าออนไลน์ของแบรนด์” หรือเว็บไซต์แบรนด์ สัดส่วน 80% ของคนที่มีกิจกรรมบนโลกออนไลน์ จะซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ “คาดการณ์ได้เลยว่าผู้บริโภคที่หาข้อมูลสินค้าบนออนไลน์ ส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อ”

อีกข้อมูลที่ต้องรู้ในการทำตลาดอีคอมเมิร์ซ คือ จำนวน 32% มาจากการซื้อขายผ่านเดสก์ท็อป หรือ แล็ปท็อป และ 71% ซื้อขายผ่าน “มือถือ” ดังนั้นหากต้องการทำตลาดอีคอมเมิร์ซ จะต้องนำเสนอสินค้าที่เหมาะกับโมบายไซต์ และแอปพลิเคชั่น

คนไทยช้อปออนไลน์จ่ายเงินแบบไหน

ด้านระบบ “เพย์เมนต์” พบว่า 82% ของคนที่ทำกิจกรรมบนโลกออนไลน์ มีบัญชีกับธนาคารอยู่แล้ว โดยเกือบ 10% มีบัตรเครดิต สะท้อนให้เห็นว่าการซื้อสินค้าออนไลน์ของคนไทยยังนิยม “โอนเงิน” ที่ผ่านมาธนาคารต่างๆ จึงยกเลิกค่าธรรมเนียมโอนเงินข้ามธนาคาร

สัดส่วน 19% ซื้อออนไลน์และจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งการโอนเงินและจ่ายบิลออนไลน์ ดังนั้นช่องทางการจ่ายเงินผ่านอีคอมเมิร์ซจะต้องนำเสนอระบบเพย์เมนต์หลากหลายรูปแบบ

จากจำนวนคนที่มีบัญชีธนาคาร 82% ในจำนวนนี้ 74% ใช้ “โมบายแบงกิ้ง” ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารนำเสนอและปรับปรุงรูปแบบการให้บริการผ่าน โมบายแบงกิ้งอยู่ตลอดเวลา ทั้งเว็บไซต์และโมบายแอป โดย 47% หรือเกือบครึ่งเป็นกิจกรรมการโอนเงินผ่านโมบายแบงกิ้ง

สินค้าไหน “เวิร์ก” ทำอีคอมเมิร์ซ

แม้อีคอมเมิร์ซเป็นเทรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดย ปี 2019 ETDA คาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย เติบโต 20% ด้วยมูลค่ากว่า 3.8 ล้านล้านบาท

แต่การทำตลาดอีคอมเมิร์ซ ก็ไม่ได้เหมาะกับสินค้าทุกประเภท และการมีช่องทางอีคอมเมิร์ซก็ไม่ใช่การเข้ามาแทนที่ช่องทางเดิม แต่เป็นการเข้ามาเป็นอีกช่องทาง “เพิ่มยอดขาย”

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ช่องทางอีคอมเมิร์ซ “ไปได้ดี” ในกลุ่มผู้บริโภคไทย ที่นิยมซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ ในปี 2018 ประกอบด้วย

  • ธุรกิจท่องเที่ยว จองโรงแรม มูลค่า 4,140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.32 แสนล้านบาท) เติบโต 28% จากปัจจัยความสะดวกและการเปรียบเทียบราคา
  • สินค้าอิเลคทรอนิกส์ กล้องถ่ายรูป มูลค่า 1,043 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (33,300 ล้านบาท) เติบโต 24% แม้เป็นสินค้าที่หาซื้อผ่านสโตร์ได้ แต่ก็เลือกซื้อออนไลน์ เพื่อต้องการให้ได้ดีลพิเศษ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สินค้าใช้ดึงลูกค้าช้อปออนไลน์
  • แฟชั่นและบิวตี้ มูลค่า 908 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (29,000 ล้านบาท) เติบโต 17% สินค้ากลุ่มนี้ต้องดูความเหมาะสมของแพลตฟอร์มที่ใช้ เช่น ไอจี ที่เหมาะกับสินค้ากลุ่มนี้ แต่ต้องดูด้วยว่ามีช่องทางจ่ายเงินที่เหมาะสมหรือไม่
  • เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (21,000 ล้านบาท) เติบโต 22% มาจากช่องว่างเรื่องการขนส่ง ซึ่งการซื้อขายออนไลน์ทำได้สะดวกกว่า
  • ของเล่นและฮอบบี้ มูลค่า 575 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (18,371 ล้านบาท) เติบโต 25% เพราะหาซื้อได้ง่ายและสะดวก
  • อาหารและเพอร์ซันนอลแคร์ มูลค่า 571 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (18,243 ล้านบาท) เติบโต 30% ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริการอาหารเดลิเวอรี่

2 ออปชั่นปั้นตลาดอีคอมเมิร์ซ

สำหรับสินค้าและแบรนด์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซ จะมี 2 ออปชั่นหลักๆ คือ มาร์เก็ตเพลสต่างๆ ที่ให้บริการอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นลาซาด้า ช้อปปี้ เจดีเซ็นทรัล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำเร็จรูปให้สินค้าใช้งานได้ทันที และ “อีคอมเมิร์ซ สโตร์” หรือเว็บไซต์ของแบรนด์

ต้องบอกว่าทั้ง 2 ออปชั่นในการทำตลาดอีคอมเมิร์ซ จะได้ “ประโยชน์” แตกต่างกัน

ประโยชน์ของ “มาร์เก็ต เพลส”

  1. เริ่มต้นได้ง่ายและการลงทุนต่ำ เพราะมาร์เก็ต เพลส มีแพลตฟอร์มให้ใช้งานอยู่แล้ว จึงเป็นสิ่งที่ทำได้เร็วและง่ายสำหรับการเริ่มต้น
  2. มาร์เก็ตเพลส จะมีผู้ดูแลระบบอยู่แล้ว ดังนั้นสินค้าจึงมีหน้าที่ดูแลเฉพาะคอนเทนต์ที่จะนำเสนอและขายสินค้าบนมาร์เก็ตเพลสเท่านั้น จึงไม่มีค่าใช้จ่ายด้านการดูและและรักษาระบบ
  3. สามารถเข้าถึง (Reach) คนได้จำนวนมาก เพราะมาร์เก็ตเพลส เป็นแหล่งรวมสินค้าจึงดึงคนเข้ามาใช้บริการได้จำนวนมาก จึงมีทราฟฟิกดี
  4. สามารถรองรับสินค้าได้จำนวนมาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการอัพเกรดสปีดและระบบต่างๆ ที่จะมีต้นทุนเพิ่ม
  5. มาร์เก็ตเพลส เป็นการค้นหาสินค้าที่ Optimized รองรับการเสิร์ชของลูกค้า ทำให้สินค้ามีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่ายขึ้น
  6. ทราฟฟิกจากมาร์เก็ตเพลสที่เข้ามายังเว็บไซต์ จะมีต้นทุนต่ำกว่า

ประโยชน์ของ “อีคอมเมิร์ซ สโตร์” ผ่านเว็บไซต์แบรนด์

  1. สามารถควบคุมขั้นตอนการทำงานได้ จากการเชื่อมโยงข้อมูลที่สามารถผสมผสานหน้าเว็บกับระบบหลังบ้าน การดูแลสต็อกสินค้าทำได้ดี
  2. การ Customized ระบบต่างๆ บนเว็บไซต์ทำได้ง่ายกว่า
  3. ความยืดหยุ่นในการควบคุม “แบรนดิ้ง” การทำ Customer Experience Stores
  4. ลดความเสี่ยงการเปลี่ยนแบรนด์ เพราะในมาร์เก็ตเพลสมีแบรนด์ให้เลือกหลากหลาย หากลูกค้าหาแบรนด์ไม่เจอ แต่การมาที่เว็บไซต์แบรนด์ เป็นการล็อกลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์โดยไม่เปลี่ยนใจ
  5. เว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูล (ดาต้า) การซื้อสินค้าของลูกค้าได้ เพื่อนำมาใช้เพิ่มยอดขายได้
  6. นำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล ทำให้สามารถ Personalize รายบุคคล ทั้งสินค้า โปรโมชั่น และราคา