แม้ว่า “พีพีทีวี” จะเป็นหนึ่งในทีวีดิจิทัล 15 ช่อง ที่อยู่ต่อตามคาดหมาย ด้วยพลังเงินทุนของหมอเสริฐ หรือ น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ทำให้พีพีทีวีสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางความท้าทาย จากการวางเป้าหมายต้องผลักดันอันดับเรตติ้งขึ้นไปติดท็อป 10 ในเร็ววัน และขึ้นไปติด 1 ใน 3 ให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ทำให้พีพีทีวีจึงต้องเลือกใช้ระดม “ดูด” รายการดังจากช่องใหญ่ ทั้งช่อง 7 และช่อง 3 เข้าเสริมผัง พร้อมตั้งความหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยน ที่จะเริ่มผลักดันช่องเข้าสู่กลุ่มท็อปเท็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป 4 เดือน ดูเหมือนว่าเรตติ้งตัวชี้วัดความนิยมรายการเหล่านั้น เริ่มแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังเท่าไรนัก
The Voice เป็นรายการแรกที่ถูกดึงเข้าพีพีทีวี ช่วงเดือนสิงหาคม 2561 เนื่องจากเป็นรายการใหญ่ ฐานผู้ชมแน่น แต่ต้องโผออกจากอกช่อง 3 ด้วยพิษเศรษฐกิจ ภาวะการแข่งขันสูง เมื่อผู้ผลิตรายการเห็นว่ามีแนวโน้มขาดทุนสูงจากจำนวนสปอนเซอร์ที่ลดลง แม้ว่าช่อง 3 ช่วยลดราคาค่าเช่ารายการให้แล้วก็ตาม แต่ผู้ผลิตรายการประเมินแล้วว่า เป็นไปได้ยากที่ทำกำไรได้ตามเป้าหมาย จึงดอดไปเจรจากับพีพีทีวีที่อ้าแขนรอรับไว้แล้ว
พีพีทีวี มองว่า หากได้รายการใหญ่ มีคนรู้จักดี มีฐานคนดูจำนวนมาก จะช่วยสร้างเรตติ้งได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาสร้างความรู้จัก และคนดูเหมือนกับรายการใหม่
โดยเข้ามาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการ The Voice ทั้งหมด 3 ปี ครอบคลุม รายการ The Voice ปีละ 3 รายการ The Voice, The Voice senior และ The Voice Kids โดยใช้เงินลงทุนกว่า 500 ล้านบาท
ในขณะที่เอพีแอนด์ เจ ผู้ผลิตรายการเดิม ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น เอพีเจ แอนด์ โค ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ผลิตรายการ ไม่ต้องแบกความเสี่ยงในการหาโฆษณา และยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากการหาสปอนเซอร์ด้วย
ถัดมาในเดือนธันวาคม 2561 พีพีทีวีเรียกเสียงฮือฮา ด้วยการคว้ารายการ “กิ๊ก ดู๋” ของค่ายเจเอสแอล จากอกช่อง 7
จนช่อง 7 ต้องยกเลิกการออกรายการที่ถ่ายทำค้างไว้ทั้งหมดในช่วงกลางเดือนธันวาคม จนเกิดดราม่า “ย้ายช่อง” เจเอสแอลต้องออกมาแถลงข่าวว่า เป็นเพราะปัญหาทางธุรกิจ สปอนเซอร์ลดลง ในขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงจากค่าเช่าเวลาที่ช่อง 7 จนต้องหันมาสังกัดพีพีทีวี ที่เสนอรูปแบบการจ้างผลิต และมีส่วนแบ่งรายได้จากการหาสปอนเซอร์
รายการที่ 3 “ก่อนบ่าย คลายเครียด” รายการตลกที่อยู่คู่ช่อง 3 มายาวนานกว่า 20 ปี ประกาศย้ายช่องอย่างกะทันหันในเดือนมกราคม 2562 หลังจากที่โดนช่อง 3 ลดเวลาออกอากาศจาก 5 วันเหลือ 3 วันต่อสัปดาห์ ทำให้ “เป็ด เชิญยิ้ม” หอบรายการเข้าเจรจากับพีพีทีวี จนได้ออกอากาศในช่องใหม่ พีพีทีวี ในช่วงเวลาเดิม เป็นเวลา 5 วันเหมือนที่อยู่กับช่อง 3
แต่รูปแบบการเจรจาธุรกิจ ไม่ได้เหมือนกับ 2 รายการก่อนหน้า เนื่องจาก เป็ด เชิญยิ้ม ยังต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการอยู่เหมือนเดิม จึงเป็นรูปแบบการเช่าเวลาช่องพีพีทีวี
เปิดตัวได้สวย ดันเรตติ้งพีพีทีวีเข้าท็อปเท็น
การเปิดตัวครั้งแรกของ “The Voice” และ “กิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงินล้าน” เป็นไปได้ดีพอสมควร โดยเรตติ้งวันเปิดตัวอยู่ที่ 0.575 แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนไปอยู่สูงสุดที่ 0.969 ในตอนที่ 4 หลังจากนั้นก็ได้เรตติ้งเฉลี่ยในช่วง 0.6-0.8 ประคองตัว จนเกิด “ดราม่า” โค้ช “ป๊อป ปองกูล” ในเรื่องความรักสามเส้า แต่ดราม่าทุกอย่างคลี่คลายได้โดยเร็ว ตอนจบซีซัน 7 ได้เรตติ้ง 0.883 มีเรตติ้งเฉลี่ยทั้งรายการอยู่ที่ 0.775
ส่วน “กิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงินล้าน” เปิดตัวด้วยเรตติ้ง 0.827 กับเทป “พี่ตูน บอดี้สแลม” แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากการจัดศิลปินนักร้องที่จับกลุ่มแมสมากขึ้น จนได้เรตติ้งเกิน 1 ไปสูงสุดที่ 1.192 ในเทปที่ 5 หลังจากนั้นสถานการณ์เรตติ้งรายการ ค่อยๆ ดิ่งลงทีละนิด จนเทปล่าสุดวันที่ 23 เมษายน 2562 ได้เรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 0.504 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แค่เพียง 2 รายการนี้ กับรายการถ่ายทอดสดฟุตบอล ทำให้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 ก็สามารถผลักดันพีพีทีวีเข้ามาติดอันดับท็อปเท็นของกลุ่มที่วีดิจิทัล โดยในเดือนกุมภาพันธ์ พีพีทีวีสามารถเข้ามาติดในอันดับ 10 ด้วยเรตติ้งเฉลี่ย 0.233 เป็นครั้งแรก
ส่วน “ก่อนบ่าย คลายเครียด” เริ่มมาออกอากาศในเดือนมีนาคม ช่วงเวลาเช้าของจันทร์–ศุกร์ เปิดตัวด้วยเรตติ้งเพียง 0.100 เคยลงต่ำสุดที่ 0.067 แต่ก็กลับขึ้นมามีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.1-0.2 มาตลอด ในขณะที่เคยได้เรตติ้งในระดับ 0.7-0.9 ในครั้งที่อยู่กับช่อง 3
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมีนาคม ทั้งรายการ The Voice ที่ต่อด้วย The Voice Senior และ The Voice Kids รวมถึง “กิ๊ก ดู๋” มีเรตติ้งลดลงเรื่อยๆ เนื่องจาก สถานการณ์แข่งขันแย่งชิงอันดับ 10 ในตารางทีวีดิจิทัล เป็นไปอย่างดุเดือดเข้มข้นมาก และเดือนมีนาคม ยังเป็นช่วงการเลือกตั้งใหญ่ของไทย ทำให้รายการข่าวมาแรง เนชั่นทีวีจึงเบียดเข้ามาอยู่ในอันดับ 10 แทน พีพีทีวีหล่นไปอยู่อันดับ 11 ด้วยเรตติ้งเฉลี่ย 0.197
ผังไพรม์ไทม์จันทร์–อังคาร แข่งขันสูง ละครดัง กระแสแรง
หากวิเคราะห์เหตุผลสำคัญที่เรตติ้งรายการดัง ทั้งกลุ่มรายการ The Voice และ “กิ๊ก ดู๋” ลดลงต่อเนื่อง น่าจะมี 2 สาเหตุใหญ่ คือ การปรับช่วงเวลาออกอากาศ และคู่แข่งจากช่องละคร ที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน
เนื่องจาก “กิ๊ก ดู๋” เป็นรายการที่จับกลุ่มผู้ชมตลาดแมสมาตั้งแต่ต้น เมื่อมาอยู่พีพีทีวี จึงมีการปรับรูปแบบรายการเพื่อขยายฐานผู้ชมตลาดแมสให้ช่อง จึงเน้นเชิญนักร้องรับเชิญที่เป็นรู้จักดีในวงกว้างมากกว่า เช่น ไมค์ ภิรมย์พร, ตั๊กแตน ชลดา หรือลำไย ไหทองคำ
ในช่วงที่ “กิ๊ก ดู๋” ยังอยู่กับช่อง 7 ถูกวางเวลาออกอากาศในช่วงเวลาดึกหลังละครไพรม์ไทม์ ไม่ต้องไปชนรายการฮอตจากช่องอื่นๆ อีกทั้งการอยู่ที่ช่อง 7 มีฐานผู้ชมเรตติ้งการันตีอยู่แล้ว เมื่อย้ายมาลงช่วงไพรม์ไทม์ทุกวันอังคาร ต้องเจอศึกหนักจากละคร และหลากหลายรายการในช่องอื่นๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญทำให้เรตติ้งรายการลดลง
ในขณะที่ The Voice ในช่อง 3 เคยออกอากาศในช่วงวันอาทิตย์เย็น ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของวันหยุด เป็นช่วงเวลาครอบครัว ที่เหมาะกับวางผังรายการที่ดูได้ทั้งครอบครัว แต่ด้วยข้อจำกัดที่ไปชนกับรายการถ่ายทอดสดหลายรายการกีฬาของช่องพีพีทีวี ทำให้ต้องมาลงผังในทุกวันจันทร์ช่วงไพรม์ไทม์แทน
การไปลงผังช่วงไพรม์ไทม์ทุกวันจันทร์–อังคาร จะมีคู่แข่งจากทั้งรายการ ละคร จากทั้งช่อง 7, ช่อง 3 ช่องวัน และจีเอ็มเอ็ม 25 ที่กำลังดันละครเต็มที่ ช่วงนี้เจอละครจากช่อง 3 ตั้งแต่ “ตุ๊กตาผี” ยาวมาถึงละครกระแสแรง “กรงกรรม” และยังเจอกับรายการวาไรตี้เกมโชว์ จากเวิร์คพอยท์ แถมด้วยรายการข่าวจากไทยรัฐทีวี และอมรินทร์ทีวี ที่วันไหนข่าวฮอต เรตติ้งก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีหนังใหญ่ จากช่องโมโน ที่พร้อมจัดสู้เรียกเรตติ้งบ่อยครั้ง
อีกทั้งเมื่อ The Voice ซีซัน 7 จบลง พีพีทีวีเลือก The Voice Senior ออกอากาศต่อ ถึงจะมาเป็น The Voice Kids ทำให้ช่วงจังหวะความนิยมมีการสะดุด เนื่องจาก The Voice Senior ได้รับความนิยมน้อยกว่า The Voice 2018 เกือบครึ่งหนึ่ง แม้จะมีเพียง 4 ตอนเท่านั้นที่คั่นเวลา ก่อนมาถึง The Voice Kids
ดังนั้น ความต่อเนื่อง การสร้างความจดจำผังรายการ ให้กับผู้ชมจึงลดลง ยิ่งเป็นช่องเล็ก เด่นด้านรายการกีฬา ยังไม่มีรายการภาคบันเทิงอื่นๆ ดึงความสนใจของผู้ชมได้มากเหมือนช่องใหญ่ ผู้ชมจำนวนหนึ่งแทบจะลืมไปว่า มีรายการ The Voice ลงผังในทุกวันจันทร์
เหตุผลประกอบทั้งหมด เป็นสาเหตุใหญ่ จึงมีส่วนทำให้เรตติ้งกลุ่มรายการ The Voice ช่องพีพีทีวี ลดลงต่อเนื่อง เพราะนอกจากคอนเทนต์ดีแล้ว กลยุทธ์การจัดวางผังรายการ ช่วงเวลาที่เหมาะสม น่าจะมีส่วนสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน
ผิดไปจากเป้าหมายของพีพีทีวี ที่ตั้งความหวังไว้สูงว่า การดึงคอนเทนต์เด่น รายการดีจากช่องใหญ่ ด้วยการทุ่มทุนเป็นหลักหลายร้อยล้าน มาลงผังจะช่วยสร้างฐานผู้ชมใหม่ให้กับช่อง เพื่อเข้าสู่กลุ่มช่อง TOP 10 อย่างถาวร หรือเข้าสู่ TOP 5 ให้สำเร็จให้ได้ กลายเป็นว่ากลุ่มรายการกีฬา ยังคงเป็นรายการสร้างเรตติ้ง และความนิยมของช่องเหมือนเดิม
สำหรับผู้ผลิตรายการที่ย้ายช่องมาทั้ง The Voice และ กิ๊ก ดู๋ ในแง่การเงิน คงไม่ได้รับบาดเจ็บ จากผลตอบรับที่ลดลงในครั้งนี้ เพราะถือเป็นการสละเรือลำเก่า มาได้รายได้ที่ชัดเจนในการรับรับจ้างผลิต แต่คนที่รับบทหนัก คือ เจ้าของช่องอย่างพีพีทีวี ที่ทุ่มเทงบประมาณไปเต็มที่
กลางปีนี้ พีพีทีวีมีแผนการนำละครไทย ที่ประกาศทุ่มงบมหาศาลออกอากาศไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงน่าจับตาอย่างยิ่งว่า จะเป็นรายการหมวดบันเทิงที่สามารถสร้างจุดเปลี่ยน เรียกกระแส ความนิยมช่องขึ้นมาอีกครั้งได้มากน้อยแค่ไหน.