“ดุสิตธานี” แตกธุรกิจอาหารปั้นแบรนด์ “ของไทย” 3 ปี ดันรายได้พันล้าน ติดใจมิกซ์ยูสควง “อนันดา” เปิดอีก 2-3 โปรเจกต์

ภายใต้กลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายในการทำธุรกิจ (Diversify) ของกลุ่มดุสิตธานี เพื่อโอกาสเติบโต กระจายความเสี่ยง และสร้างความสมดุลรายได้ จากปัจจุบันสัดส่วน 80% มาจากธุรกิจโรงแรม หนึ่งในเรือธง ดุสิตธานีมองไปที่ “ธุรกิจอาหาร” ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมและโอกาสการลงทุนใน “มิกซ์ยูส” เพิ่มเติม ปีนี้อาจเห็นอีก 2-3 โครงการ

การปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาโปรเจกต์มิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ใจกลางกรุงเทพฯ บนที่ดิน 23 ไร่ หัวมุมถนนสีลมและพระราม 4  ร่วมกับเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) มูลค่า 37,700 ล้านบาท ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี 2567 โดยส่วนของโรงแรม “ดุสิตธานี กรุงเทพ” โฉมใหม่ ขนาด 250 ห้อง ความสูง 39 ชั้น จะเปิดให้บริการเป็นลำดับแรกในต้นปี 2565

แต่การปิดโรงแรมดุสิต กรุงเทพ ที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างใหม่ 3-4 ปี ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ปีละ 700-800 ล้านบาท กลุ่มดุสิตธานีจึงต้องเดินหน้าสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ทดแทน พร้อมตอบกลยุทธ์ Diversify ที่ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีได้ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ให้มีความหลากหลาย โดยแบ่งเป็น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (มิกซ์ยูส) ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอื่นๆ

รุกธุรกิจอาหารโรงงานผลิต-เคเทอริ่ง

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายการลงทุนธุรกิจอาหาร ที่ผ่านมา ดุสิตธานีได้จัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เป็นบริษัทย่อยถือหุ้นสัดส่วน 99.99% เพื่อเข้าไปลงทุนในธุรกิจอาหาร ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของดุสิตธานี และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต รวมทั้งสร้าง Synergy กับธุรกิจเดิม

“วิสัยทัศน์ของ ดุสิต ฟู้ดส์ คือ การนำอาหารไทยและอาหารในภูมิภาคเอเชียออกสู่โลก (Bring Asia to the World) การนำความเป็นไทยไปสู่โลกนั้น เป็นจุดยืนของกลุ่มบริษัทดุสิตธานีตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนอาหารเอเชียนั้นก็เพราะเรามี Foot Print ของธุรกิจโรงแรมในทวีปเอเชียเป็นหลักที่สามารถต่อยอดกันได้”

ศุภจี สุธรรมพันธุ์

การขยายธุรกิจอาหาร “ดุสิต ฟู้ดส์” เริ่มตั้งแต่ มี.ค. 2561 ได้เข้าไปลงทุนมูลค่า 663 ล้านบาท ในบริษัท เอ็นอาร์อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด หรือ NRIP ถือหุ้น 26% ซึ่งเป็นโรงงานผลิตอาหารในจังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปี ผลิตสินค้าส่งออก 25 ประเทศทั่วโลก ให้กับแบรนด์ต่างๆ กว่า 50 แบรนด์ ผลิตสินค้าได้หลากหลายกว่า 1,000 SKU รายได้เกือบทั้งหมดมาจากการส่งออกต่างประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้น NRIP ยังได้วางยุทธศาสตร์เพิ่มรายได้ที่เกิดจากแบรนด์ของตนเอง ที่มีอยู่ 5 แบรนด์ เช่น Lee, ไทยดีไลท์ และสร้างใหม่อีก 1 แบรนด์ในปีนี้ เพื่อขยายตลาดรีเทลในประเทศไทย ซึ่ง NRIP วางแผนทำ IPO เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะยื่นไฟลิ่งในปีนี้ นั่นเท่ากับว่า ดุสิตธานีจะมีแหล่งรายได้หลักจาก NRIP

ช่วงต้นปีนี้เดือน ม.ค. 2562 ดุสิตธานีได้เข้าไปลงทุนในบริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด หรือ ECC ซึ่งเป็นผู้นำให้บริการผลิตอาหาร (Catering) ให้กับโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยกว่า 30 แห่ง โดยเข้าไปถือหุ้น 50% และจะเพิ่มเป็น 70% ในต้นปี 2563 รวมมูลค่าการลงทุน 613 ล้านบาท การลงทุนดังกล่าวมองโอกาสเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในกลุ่มตลาดธุรกิจการศึกษาและตลาดอื่นๆ ด้วยการเชื่อมต่อกับเครือข่ายโรงแรมดุสิตธานีที่มีอยู่ในหลายประเทศ

ปั้นแบรนด์อาหาร “ของไทย” เจาะฟู้ดเซอร์วิส

สเต็ปรุกธุรกิจอาหารของดุสิตฟู้ดส์ปีนี้ ได้สร้างแบรนด์อาหาร “ของไทย” (KHONG THAI) ที่สื่อถึง “ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเอกลักษณ์จากประเทศไทย” เริ่มจากกลุ่มเครื่องแกง ready to cook 4 เมนู คือ แกงเขียวหวาน แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น และก๋วยเตี๋ยวแขก และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส ซอสพริก ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว น้ำปลา ปี 2563 วางแผนเพิ่มสินค้าให้ได้ 20 SKU สินค้าแบรนด์ “ของไทย” ใช้โรงงานผลิตของ NRIP ที่ดุสิตธานีเข้าไปร่วมถือหุ้น เป็นการลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำโรงงานผลิตถึงปลายน้ำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์

เจตน์ โศภิษฐพ์งศธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดแบรนด์ “ของไทย” สร้างความแตกต่างจากตลาดเครื่องแกง โดยได้ร่วมมือกับ “เดวิด ทอมป์สัน” (David Thompson) เชฟชาวออสเตรเลีย ที่ศึกษาคุณค่าและเรื่องราวของอาหารไทยมายาวนาน และทำให้ร้านอาหารไทยที่เขาทำงานเป็นพ่อครัว ไม่ว่าจะที่ต่างประเทศหรือในประเทศไทยได้รับ มิชลินสตาร์ เช่น ร้านอาหาร Nahm (น้ำ) ของไทย โดยเชฟเดวิดทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสรรค์เมนูอาหารแบรนด์ “ของไทย” ที่จะเน้นทำตลาดส่งออกเป็นหลัก 90% เริ่มจากตลาดสหรัฐ

เจตน์ โศภิษฐพ์งศธร

อเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และรู้จักอาหารไทยดี โดยจะทำตลาดในกลุ่มเป้าหมายพ่อครัวและผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร หรือการให้บริการทางการทำอาหาร (Food Service) เฉพาะตลาดสหรัฐฯ น่าจะเห็นรายได้ 40-50 ล้านบาทต่อปี ภายใน 5 ปีแตะ 100 ล้านบาท โดยจะขยายตลาดส่งออกในยุโรป อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี ไปพร้อมกัน จะเปิดตัวแบรนด์ “ของไทย” ในงาน THAIFEX – World of Food Asia 2019 วันที่ 28 พ.ค. – 1 มิ.ย. เป็นครั้งแรก

นอกจากทำตลาดส่งออกแล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องปรุงรสแบรนด์ “ของไทย” จะถูกนำไปใช้ในโรงแรมปรุงอาหารในโรงแรมต่างประเทศที่ดุสิตธานีเข้าไปลงทุนและบริหาร เพื่อให้ได้อาหารที่มีรสชาติและมาตรฐานเดียวกัน

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ธุรกิจอาหารของ ดุสิต ฟู้ดส์ ยังมองตลาดอาหารในเอเชียที่มีความโดดเด่นเช่นกัน มีแผนที่จะร่วมมือกับ “เชฟ” ที่มีชื่อเสียงด้านอาหารของแต่ละชาติ เพื่อพัฒนาแบรนด์และเมนูใหม่ๆ ออกมากทำตลาดอย่างต่อเนื่อง

ปี 64 ดุสิต ฟู้ดส์ รายได้ 1,000 ล้าน

ศุภจี กล่าวว่าธุรกิจอาหาร ปีนี้จะทำรายได้ราว 400 ล้านบาท และภายในปี 2564 จะมีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท เป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่เข้ามาทดแทนรายได้จากการปิดโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ประกอบกับแผนการเปิดโรงแรมใหม่ทุกปี ปีละ 10-12 แห่ง ทั้งการร่วมลงทุนและเข้าไปรับจ้างบริหารโรงแรมในไทยและต่างประเทศ จะทำให้กลุ่มดุสิตธานียังเติบโตได้ที่ระดับ 8-10% พร้อมมองโอกาสการลงทุนใหม่ๆ

ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ดุสิตธานีเตรียมเปิดให้บริการ “บ้านดุสิตธานี” โดยได้ทำสัญญาเช่า 5 ปี บ้านโบราณอายุกว่า 100 ปี บนที่ดินขนาดเกือบ 5 ไร่ในซอยศาลาแดง เพื่อพัฒนาและปรับปรุงเป็นจุดหมายใหม่ของนักชิมและนักท่องเที่ยวที่คิดถึงโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ในช่วงที่กำลังก่อสร้างใหม่ ด้วยการนำบริการต่างๆ ที่เคยเป็นซิกเนเจอร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เช่น ห้องอาหารไทยเบญจรงค์ ห้องอาหารเวียดนามเธียนดอง ร้านเบเกอรี่ ดุสิต กูร์เมต์ บริการซักรีด และพื้นที่จัดเลี้ยง มาเปิดให้บริการที่ “บ้านดุสิตธานี”

ลงขันอนันดาบุก“มิกซ์ยูส” อีก 2-3 โปรเจกต์

อีกหนึ่งธุรกิจที่กลุ่มดุสิตธานี Diversify ไปแล้ว คือ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (มิกซ์ยูส) โปรเจกต์แรกร่วมกับ “ซีพีเอ็น” ลงทุนโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 37,700 ล้านบาท ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี 2567 ประกอบไปด้วย 4 ธุรกิจ คือ โรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน

ปีนี้ดุสิตธานีมีแผนจะลงทุนโครงการมิกซ์ยูสอีก 2-3 โปรเจกต์ หนึ่งในนี้คือโครงการที่ร่วมทุนกับ “อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” ซึ่งเป็นเข้ามาลงทุนถือหุ้นดุสิตธานี 5% มูลค่ารวม 510 ล้านบาท เมื่อเดือน ก.พ. 2562 โดยเป็นการเข้ามาลงทุนระยะยาว และใช้จุดแข็งของทั้ง 2 บริษัท สร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ทั้งโรงแรมและที่พักอาศัย รวมทั้งจะมีการลงทุนมิกซ์ยูสร่วมกับพันธมิตรรายใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน

รายได้จากธุรกิจมิกซ์ยูสที่ร่วมกับ ซีพีเอ็น จะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2566 แต่โครงการมิกซ์ยูส 2-3 โครงการที่จะลงทุนในปีนี้ จะมีบางโปรเจกต์เริ่มมีรายได้เข้ามาก่อนปี 2566

การ Diversify ธุรกิจกลุ่มอาหารและมิกซ์ยูส จะทำให้สัดส่วนรายได้ของกลุ่มดุสิตธานีเปลี่ยนไป จาก ปี 2561 ที่มีรายได้ 5,565 ล้านบาท มาจากโรงแรม 83.2%, การศึกษา 7.6% และ อื่นๆ 9.2% ตั้งแต่ปีนี้จะเริ่มมีรายได้จากธุรกิจอาหารเข้ามาอีกกลุ่ม

โดยในปี 2564 สัดส่วนรายได้จะมาจากโรงแรม 70% อาหาร 15% การศึกษาและอื่นๆ 15%