ก่อนหน้านี้เคยมีคำพูดกันว่า คนรุ่นใหม่อยากเป็นนายของตัวเองจึงหันไปเปิด “ร้านกาแฟ” จนเกลื่อนเมือง เดินไปที่ไหนก็เจอ ไม่ว่าจะตามตรอก ซอกซอยไหนๆ แม้วันนี้คำพูดนั้นก็ยังใช้ได้อยู่ แต่คงต้องเพิ่มอีกร้านเข้าไปคือ “ชานมไข่มุก”
จริงๆ แล้ว “ชานมไข่มุก” ไม่ใช่เครื่องดื่มที่ใหม่เลยสำหรับในเมืองไทย หากเข้ามาในตลาดได้นับ 10 ปี ก่อนมนต์เสน่ห์จะเจือจาง และกลับมาบูมอีกครั้งในช่วง 2 ปีมานี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยประเมินตลาดชาไข่มุกในปี 2012 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้าน แน่นอนผ่านมา 6 ปี วันนี้มูลค่าคงพุ่งทะยานไปมากกว่านี้ สาเหตุที่ทำให้ “ชานมไข่มุก” ได้รับความนิยมนอกเหนือจากอากาศที่ร้อนแล้ว ยังเกิดการมีผู้เล่นเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำไรที่งามเป็นอย่างมาก เคยมีการประเมินไว้ว่า เฉลี่ยชานมไข่มุกต่อแก้วต้นทุนประมาณ 12-13 บาท ขายปลีกแก้วละ 30-55 บาท เท่ากับจะมีกำไรมากกว่า 50% จากราคาขาย
หากทำเลดีจะมียอดขายวันละ 200-300 แก้ว จะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 1.5-2 แสนบาทต่อเดือนทีเดียว แล้วอย่างนี้ใครล่ะจะไม่อยากขาย!
ความ HOT ของ “ชานมไข่มุก” ไม่ได้มีเพียงไทยเท่านั้น ต่างประเทศก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน มีการประเมินจาก Allied Market Research ระบุว่า ตลาดชานมไข่มุกปี 2016 มีมูลค่าราว 1,957 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 62,269 ล้านบาท คาดว่าในปี 2023 จะมีมูลค่าสูงกว่า 3,214 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 102,242 ล้านบาท
คลื่นลูกที่สาม ชานมไข่มุกสู่ยุค “พรีเมียม” แก้วเกินร้อยคนก็ยังต่อแถวซื้อ
กระแสชานมไข่มุกในงาน THAIFEX เป็นอีกหนึ่งในเทรนด์ที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของชานมไข่มุกยุคใหม่ บูธตัวแทนจำหน่ายวัตถุดิบจากไต้หวันเข้าร่วมโชว์สินค้า ร่วมกับการแจกให้ชิมชานมไข่มุกสไตล์ไต้หวันแท้ๆ ภายในงาน ทั้งๆ ที่ผ่านมาตลาดชานมไข่มุกแม้จะแพร่หลายหนัก แต่ก็มีหลายครั้งที่แผ่วลงทำท่าจะหมดกระแส แต่ก็ยังคงกลับมาเติบโตอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด
“ตลาดชานมไข่มุกไทยโตเร็วและโตมาก ปีนี้คาดว่าจะโตจากปีที่แล้วประมาณ 50%” แจ็คกี้ หวัง (Jacky Wang) กรรมการผู้จัดการ (President) บริษัท Possmi International จำกัด กล่าว
Possmi เป็นบริษัทนำเข้าวัตถุดิบสำหรับชานมไข่มุกจากไต้หวัน ทำตลาดในกว่า 100 ประเทศ และเป็นกลุ่มที่นำชานมไข่มุกเข้ามาแนะนำในตลาดไทยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว
แจ็คกี้ หวัง เล่าว่า ตอนนั้นมองว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อน น่าจะลองนำชานมไข่มุกที่เป็นที่นิยมในไต้หวันดู เข้ามาลองทำตลาดในไทยน่าจะไปกันได้ดี
“ตอนแรกที่เข้ามาประเทศไทยไม่ค่อยมีงานแสดงสินค้า เราใช้วิธีสอนเพื่อแนะนำคนให้รู้จักการทำชานมไข่มุกในการทำตลาด แต่ 10 กว่าปีมานี้เราแนะนำสินค้าผ่านการจัดงานแสดงสินค้าและเห็นการเติบโตของตลาดชานมไข่มุกมาตลอด”
โดยตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ชานมไข่มุกของไทยถือว่าผ่านระลอกคลื่นการเติบโตไปแล้ว 2 ยุค การเติบโตรอบนี้ แจ็คกี้ หวัง เปรียบว่า เหมือนการเติบโตในยุคที่ 3 ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ตอนนี้รวมๆ แล้วมีร้านชานมไข่มุกเป็น 100 แบรนด์ในไทย ช่วง 10 กว่าปีตลาดเติบโตหลายสิบเท่า แบรนด์ท้องถิ่นของไทยก็มาก แบรนด์จากไต้หวันก็เยอะ ซึ่งจะมีราคาสูงกว่าเพราะพรีเมียม และเราเองก็ซัพพลายวัตถุดิบให้กับแบรนด์ดังในตลาด
อีกทั้งคนไทยมีรายได้สูงขึ้น ยอมจ่ายเงินซื้อชานมไข่มุกแก้วละร้อยกว่า แพงสุดตอนนี้แก้วละ 150 บาท จะเห็นว่าร้านที่ขายชานมไข่มุกแก้วละร้อยกว่าบาทก็ยังมีคนไทยต่อแถวซื้อ”
การเติบโตของตลาดชานมไข่มุกในไทย จึงมาจาก 2 ส่วนหลักๆ คือ ตลาดที่ยังคงขยายเติบโต กับมูลค่าของเครื่องดื่มที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเติบโตของชานมไข่มุกในยุคคลื่นลูกที่สาม ที่ แจ็คกี้ หวัง ยืนยันว่า มาจากการพัฒนาวัตถุดิบต่างๆ ที่เน้นส่วนประกอบจากธรรมชาติมากขึ้น
“เมื่อก่อนขายแก้วละ 20-30 บาท นั่นคือยุคแรก เติบโตเพราะกระแส มีร้านเกิดขึ้นเร็วเพราะสามารถหาวัตถุดิบในไทยได้ ทำให้เปิดร้านได้ง่าย แต่พอกระแสหมดตลาดก็เริ่มตก
ยุคที่สองกลับมาเติบโตอีกครั้งเพราะคนไทยมีรายได้ดีขึ้น แต่ยิ่งกินยิ่งอ้วน คนก็เริ่มมองหาส่วนผสมที่เป็นโลว์ซูการ์ โลว์แคลอรี มายุคนี้จึงเป็นเรื่องวัตถุดิบ ทั้ง ชา นม ไข่มุก ที่มีคุณภาพและผลิตจากธรรมชาติมากขึ้น”
เมื่อเทียบการเติบโตของตลาดชานมไข่มุกไทยกับไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดด้วยแล้ว แจ็คกี้ หวัง บอกว่า ตลาดไทยถือว่าเติบโตไวมาก และยังมีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าในไต้หวัน ด้วยเพราะขนาดจำนวนประชากรที่มากกว่าเท่าตัว ทำให้ตลาดไทยมีอัตราเติบโตเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน ปีนี้คาดว่าจะเติบโตถึง 50% แต่โดยรวมแล้วถือว่าตลาดในประเทศเอเชียเป็นตลาดที่ชานมไข่มุกเติบโตดี ทั้งในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ความแตกต่างของชานมไข่มุกในตลาดเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่จะยังทำให้ตลาดชานมไข่มุกเติบโตต่อไปได้อีกนาน จากการเป็นเครื่องดื่มที่สามารถสร้างสรรค์ พัฒนาใส่ลูกเล่น คิดค้นสูตรใหม่ในการส่วนผสมต่างๆ เข้าไปได้อีกหลากหลาย
“ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของชานมไข่มุก ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก เปลี่ยนนม เปลี่ยนไข่มุก เติมรสชาติ การครีเอตสูตรที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไม่เบื่อ ในหลายประเทศนำชานมไข่มุกไปดัดแปลงผสมกับเครื่องดื่มท้องถิ่น ชานมไข่มุกจึงเป็นเครื่องดื่มที่มีสีสัน ดื่มอร่อย กินอร่อย และเคี้ยวสนุก และมีเอกลักษณ์ที่ต้องใช้หลอดขนาดใหญ่เพื่อให้คนกินรับรสชาติของส่วนผสมในแก้วได้พร้อมกันทั้งน้ำและเนื้อ”
ที่สำคัญ ชานมไข่มุกนอกจากมีสถานะเป็นเครื่องดื่ม ยังเป็นเหมือนขนม ที่จะเห็นว่าแม้จะเพิ่งรับประทานข้าวอิ่มมา แต่หลายคนก็ยังเลือกดื่มชานมไข่มุกต่ออีกแก้ว
“เสือไทย” – “เสือไต้หวัน” นัวเนียอุตลุด
ย้อนกลับมาดูตลาดในบ้านเรานอกเหนือจากร้านย่อยๆ ที่ขายทั่วไป ยังมีเชนชื่อดังอีกหลายๆเจ้าทั้ง Ochaya ที่มีไม่น้อยกว่า 350 สาขา, Mr. Shake มีไม่น้อยกว่า 60 สาขา และ KOI Thé 27 สาขา
รวมไปถึง Fire Tiger ชานม “เสือพ่นไฟ” ที่แม้จะมีเพียง 5 สาขาหลังจากเปิดมาครบ 1 ปีเต็มและต้องการขยายอีก 5 สาขาในปีนี้ โดยตั้งความหวังที่จะก้าวสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้
นอกจากเสือไทยแล้วเมื่อไม่นานมานี้ยังมีเสือไต้หวัน “Tiger Sugar” ชานมไข่มุกลายเสือได้บุกมาเปิดสาขาแรกที่ The Market Bangkok การเข้ามาของแบรนด์ต้นตำรับลายเสือ ได้ทำให้กระแสต่อคิดกลับมาอีกครั้งใช้เวลากว่าชั่วโมงกว่าจะได้กิน
แต่ถ้าใครไม่อยากต่อเองก็สามารถจ้างบรรดา Food Delivery ซึ่งพบว่านอกจากราคาปรกติแล้วอาจจะต้องมีค่าเสียเวลาเพิ่มอีก 100-200 บาท แล้วแต่ความนานที่ต้องรอ
ยอดขายใน Food Delivery โตกว่า 3,000%
ข้อมูลที่ Positioning ได้รับจาก Food Delivery 2 รายหลักเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความ HOT ของ “ชาไข่มุก” โดย LINEMAN ระบุว่าภายในแพลตฟอร์มมีร้านให้เลือกมากกว่า 100 แบรนด์ทั้งร้าน Chain & Stand Alone
ช่วงเวลาที่นิยมสั่งมากที่สุดคือ 11.30 – 14.30 น. เฉลี่ยแล้วต่อ 1 การสั่ง 1 ครั้ง สั่งเฉลี่ยที่ 3 แก้วโดยราคาที่นิยมจ่ายมากที่สุดอยู่ในระหว่าง 70-120 บาท โดยเมนูชานมไข่มุกติดท็อปเมนูไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ในขณะที่ GrabFood มีร้านอยู่ในระบบมากกว่า 50 แบรนด์ นิยมสั่งชานมไข่มุกในช่วงพักกลางวันตั้งแต่ช่วงเที่ยงถึงบ่าย 2 แต่ข้อมูลที่ Positioning ได้รับน่าตกใจเป็นอย่างมาก เพราะยอดขายชานมไข่มุกเพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายประเทศทั่วภูมิภาคโดยเฉลี่ย 3,000% ในปี 2018 โดยในไทยยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 3,000% นับจากเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2018
จากข้อมูลเดือนธันวาคม 2018 ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีร้านชานมไข่มุกบน GrabFood เกือบ 4,000 ร้านจาก 1,500 แบรนด์ รวมถึงร้านดังอย่าง The Alley, KOI Thé และ Ochaya ซึ่งมีร้านเพิ่มขึ้นรวม 200%
โดยเฉลี่ยแล้วคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้ GrabFood สั่งชานมไข่มุก 4 แก้วต่อคนต่อเดือนยกเว้นคนไทยที่สั่งชานมไข่มุกเฉลี่ย 6 แก้วต่อคนต่อเดือน
โดยชานมไข่มุกรสชาติฮิต 5 อันดับของไทยมีดังนี้ 1.กาแฟ 2.ช็อกโกแลต 3.น้ำผึ้ง 4.เบอร์รี่ 5. ชาเย็นและท็อปปิ้งสุดโปรดของคนไทยคือ “ไข่มุก” รองลงมาคือเฉาก๊วยและชีส
“ขาใหญ่” ยังต้องมี
ด้วยความหวานละมุนนี่เองทำให้ขาใหญ่อดไม่ได้ที่ต้องลงมาขอชงด้วยสักแก้ว ทั้ง “CP” ที่ส่งบริษัทในเครือเชสเตอร์ ฟู้ดส์ซึ่งเดิมทำธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ภายใต้แบรนด์เชสเตอร์ กริลล์ ตัดสินใจขยายพอร์ตธุรกิจ
เปิดตัวเครื่องดื่มชานมไข่มุกสูตรไต้หวัน “Crown Bubble” โดยระบุว่าเป็นชานมต้นตำรับที่ใช้วัตถุดิบจากไต้หวันเปิดสาขาแรกที่ชั้น1ศูนย์การค้าเซ็นจูรี่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขายในราคา 40-65 บาท
ค่ายเบียร์ยักษ์ใหญ่ “สิงห์” ลงมาลุยผ่าน “สิงห์ปาร์ค” โดยเบื้องต้นระบุว่าร่วมพัฒนากับ “ยูเรก้า” ซึ่งเป็นเชนร้านกาแฟโดยฝั่งนี้จะพัฒนาคอนเซ็ปต์ของร้านหลังจากเปิดก็จะบริหารร้านให้ ส่วนวัตถุดิบสำคัญอย่างใบชาจะใช้ของไร่สิงห์ปาร์ค โดยสาขาแรกจะตั้งอยู่ที่ตึกสิงห์ คอมเพล็กซ์ มีแผนเปิดเร็วๆ นี้
ไม่เพียงเท่านั้น IKEA แบรนด์ขายเครื่องเรือนและของใช้ภายในบ้านขนาดใหญ่จากประเทศสวีเดนที่มีสาขาหลักๆ อยู่ 2 แห่งที่บางนาและบางใหญ่ ตัดสินใจเปิดขายชาไข่มุกในส่วนของร้านอาหารตามเสียงเรียกร้องจากลูกค้า
โดยเริ่มขายที่สาขาบางใหญ่ก่อนจะขยายไปบางนา ในราคาเริ่มต้น 45 บาท IKEA ระบุว่าการขาย “ชาไข่มุก” ถือเป็นเมนูโลคัลขายที่ไทยเป็นแห่งเดียวในโลกแม้แต่สิงคโปร์และมาเลเซียยังไม่มีขายโดยเป็นเมนูขายถาวร
ขณะเดียวกันเพื่อเอาใจสายสุขภาพ ล่าสุด Kleens Shop ได้ออกชาไขมุกที่มีส่วนผสมของ “เวย์โปรตีน” โดยระบุให้แคลอรีน้อยกว่าปรกติเกือบ 200 แคล
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ “ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว” เองก็เตรียมเปิดร้านชานมไข่มุกในชื่อ “Three Tea” วางขายในราคา 19 บาท ด้วยรูปแบบการขาย “แฟรนไชส์” โดยเปิดสาขาแรกที่อำเภอเกาะคาจังหวัดลำปาง และตั้งเป้าขยาย 100 สาขาภายใน 1 ปี
เชื่อว่า “ขาใหญ่” ที่ลงมาชงขาไข่มุกขายคงไม่มีเท่านี้แน่ๆ แต่จะมีใครอีกบ้างคงต้องติดตามตอนต่อไป!!