หลังจากที่กลุ่มทรูประกาศไปแล้วว่า ได้ดีลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งถือเป็นลีกต่างประเทศที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชมคนไทยมากที่สุด ไปถ่ายทอดสดในช่องทางของกลุ่มทรู ทั้งในเพย์ทีวี, ทีวีออนไลน์ และทางมือถือไปแล้วนั้น
ล่าสุดมีรายงานข่าวยืนยันว่า กลุ่มทรูและพีพีทีวี ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันว่า พีพีทีวีได้ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในส่วนที่เป็นการออกอากาศในช่องทาง “ทีวีดิจิทัล” เท่านั้น ต่อจากกลุ่มทรู เป็นระยะเวลา 3 ฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาลปี 2019/20/ จนถึง 2021/22
ตามข้อตกลงนั้น ลิขสิทธิ์ในการออนแอร์สดทางช่องทางทีวีดิจิทัล จะมีไม่เกินปีละ 30 แมตช์ ซึ่งจะเลือกแมตช์ใหญ่ ที่มีทีมชื่อดังที่เป็นที่ชื่นชอบของคอบอลไทยลงแข่งขัน โดยจะเป็นการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างต่อเนื่องของพีพีทีวี ที่ได้ซื้อสิทธิ์ต่อมาจาก beIN มาตั้งแต่ปี 2016/17 เป็นต้นมา
ส่วนที่ทรูวิชั่นส์ ยอมขายลิขสิทธิ์ให้พีพีทีวี เพื่อในฟรีทีวีด้วยนั้น ก็เพื่อเป็นการโปรโมตแบรนด์ “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ไปยังคนดูทั่วไปให้กว้างขึ้น และยังมีรายได้จากการขายสิทธิ์กลับเข้ามาด้วย
สำหรับพีพีทีวี คอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกถือเป็นคอนเทนต์สำคัญของช่อง ที่เรียกเรตติ้งสูงที่สุดของช่องทุกครั้ง ที่มีการแข่งขันแมตช์ใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ มีเรตติ้งสูงกว่าฟุตบอลลีกประเทศอื่นๆ และกีฬาประเภทอื่นที่พีพีทีวีซื้อลิขสิทธิ์
พีพีทีวี ตั้งราคาขายโฆษณาถ่ายทอดรฟุตบอลดังไว้ที่ 3 แสนบาท/นาที ในขณะที่ราคาเฉลี่ยทั้งช่องเฉลี่ย 1.7 หมื่นบาท/นาที
สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์ พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 เคยให้สัมภาษณ์ว่า พีพีทีวีสนใจซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ เนื่องจากเป็นคอนเทนต์ฟุตบอล (ลีกอังกฤษและเยอรมัน) ที่ได้รับความนิยมจากคนดูเป็นอันดับแรกๆ แต่ทั้งนี้จะได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไข “ราคา” เป็นหลัก หากราคาไม่สูงเกินไปทางช่องก็ไม่มีปัญหาในการซื้อ “ถ้าราคาโอเคก็ตกลง”
พีพีทีวี เตรียมงบด้านคอนเทนต์ไว้ทั้งหมด 1 พันล้านบาท ทั้งกีฬา วาไรตี้ และละคร หากจำนวนเงินที่ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษใกล้เคียงกับต้นทุนเดิมก็ไม่มีปัญหา
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 Facebook เป็นผู้ชนะการประมูลถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อหวังเปิดตลาดทีวีออนไลน์ทาง Facebook โดยมีรายงานข่าวเบื้องต้นว่า ดีลนี้มีมูลค่าการประมูลกว่า 200 ล้านปอนด์ แต่ดีลนี้ล้มเลิกกลางคัน จนทางพรีเมียร์ลีกอังกฤษต้องเปิดประมูลใหม่อย่างเร่งด่วนในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในการเรียกประมูลใหม่นี้ มีผู้ประกอบการทีวีหลายรายให้ความสนใจพอสมควร แต่ในที่สุดกลุ่มทรูก็คว้าชัยในการเจรจาครั้งนี้ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีบริการครอบคลุมทั้งหมด ทั้งเพย์ทีวี ออนไลน์ และทีวีดิจิทัล อีกทั้งยังมีประวัติจากผู้ที่เคยมีผลงานการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกมาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาคือ จะต้องมีแผนที่จะช่วยโปรโมตกิจกรรมและสร้างชื่อเสียงต่อยอดของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกให้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยด้วย
มูลค่าดีลของทรูวิชั่นส์ ไม่ได้มีการเปิดเผย แต่เป็นราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงเท่ากับราคาประมูลก่อนหน้านี้
แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับกลุ่มทรู ได้มีการเปิดเผยไปแล้วว่า ได้เตรียมการถ่ายทอดสดทั้ง 360 แมตช์ต่อฤดูกาล โดยที่ทรูวิชั่นส์ได้เตรียมเปิด 6 ช่องฟุตบอลเพื่อรองรับการถ่ายทอดสดครั้งนี้โดยเฉพาะ พร้อมเตรียมแผนการตลาดช่วยโปรโมตอย่างเต็มที่ นับเป็นการกลับมาได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดโดยตรงจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษอีกครั้งของทรูวิชั่นส์
ทรูวิชั่นส์ถือลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก มาตั้งแต่ปี 2007/08 จนถึง 2012/13 แต่มาสะดุดในปี 2013/14 จนถึง 2015/16 ซึ่งเป็นปีที่ราคาประมูลในส่วนของประเทศไทยสูงมากติดอันดับโลก โดยที่บริษัท ซีทีเฮช ชนะประมูลไปในราคาประมาณ 202 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนปี 2555) แต่หลังจากนั้น บีอินสปอร์ต เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ได้ในปี 2016/17 จนถึง 2018/19 ซึ่งบีอินสปอร์ตได้ขายสิทธิ์ต่อให้กับทรูวิชั่นส์ ในช่องทางเพย์ทีวี และขายให้แก่พีพีทีวีในช่องทางทีวีดิจิทัล
คอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของทรูวิชั่นส์ และทรูไอดี ที่เรียกผู้ชมเข้ามาเป็นสมาชิกได้มากขึ้น จากข้อมูล ณ ไตรมาสแรกของปี 2562 ทรูวิชั่นส์มียอดลูกค้ารวมกว่า 4 ล้านราย ส่วนแอปพลิเคชั่นทรูไอดี มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 5 ล้าน.
ข่าวเกี่ยวเนื่อง