ถึงหลายคนรู้จัก eBay จากการเป็นเว็บไซต์ประมูลสินค้าที่เปิดมาแล้วกว่า 24 ปี แต่ในความเป็นจริงยอดขายหลักไม่ได้มาจากการประมูลอีกแล้ว ข้อมูลในปี 2018 ระบุว่า 89% ของผู้ซื้อนิยมซื้อสินค้าทันทีไม่รอประมูล โดย 79% ของสินค้าขายดีคือสินค้าใหม่
ยิ่งไปกว่านั้นจากยอดขาย 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นยอดขายที่มาจากนอกสหรัฐฯ ถึง 60% จาก 190 ประเทศทั่วโลก 62% ของผู้ซื้อกดสั่งสินค้าบนสมาร์ทโฟน 70% เป็นสินค้าแบบจัดส่งฟรี จำนวนผู้ซื้อสินค้าบนมีจำนวนกว่า 180 ล้านคนทั่วโลก
จากตัวเลขที่เกิดขึ้นทำให้ “การค้าปลีกส่งออกข้ามประเทศ” (Cross Border Trade: CBT) ถูกยกเป็น 1 ใน 4 กลยุทธ์หลักที่ eBay ให้ความสำคัญร่วมกับ B2C, C2C และ Mobile
สาเหตุที่ eBay ให้ความสำคัญกับ CBT มาจากข้อมูลที่ว่า CBT มีสัญญาณเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก มีการประเมินว่า มีอัตราเติบโตมากกว่าอีคอมเมิร์ซ คาดว่ามูลค่าตลาด CBT จะโตทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลก 20% ภายในปี 2022
โดยเอเชียแปซิฟฟิกจะเป็นภูมิภาคที่ CBT ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งในด้านการนำเข้าและการส่งออก ในปี 2018 ที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่ารวม 23.2 พันล้านเหรียญ คาดว่าจะเติบโตเป็น 102,000 ล้านเหรียญภายในปี 2025
ขณะเดียวกันเอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุดของ eBay แม้จะไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของภาพรวมก็ตาม โดยปัจจัยของการเติบโตนั้นมาจาก 3 เรื่องด้วยกัน 1.สินค้าเป็นที่ต้องการ
2.โครงสร้างข้อมูลทำให้สินค้าหาง่ายขายคล่อง ซึ่งนี่ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่กระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น ร่วมกับการสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีโดยเชื่อมต่อ API กับบริษัทโลจิกติกส์ชั้นนำ อย่างของไทยมี 3 บริษัท ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส และ 3.ราคาสินค้าอยู่ในระดับแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับสินค้าในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
เจนนี หุย ผู้จัดการทั่วไป บริษัทอีเบย์ ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน อธิบายว่า
“แต่เดิมนั้นการขายสินค้าแบบ CBT มักเป็นสินค้าที่น้ำหนักเบา ราคาไม่แพงมาก แต่วันนี้สินค้าไม่ได้ถูกจำกัดขนาดอีกต่อไป สินค้าราคาแพงจำพวกแบรนด์เนมก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ฝั่งคนขายเองก็พัฒนาใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วย ส่วนคนซื้อก็ต้องการบริการที่ไม่ต่างจากหน้าร้านเลยทีเดียว”
จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้น “เมืองไทย” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ eBay ให้ความสนใจ เพราะถือติด 1 ใน 3 ประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ตลาดอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างร้อนแรง คาดว่าในปี 2020 จะมีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นตัวเลขที่เติบโต 30% จากปี 2015
ข้อมูลจาก eBay เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา 5 สินค้าเด่นของไทยคือ เครื่องประดับ เม็ดพลอย รองลงมาคือสินค้าสุขภาพความงาม สินค้าเด่นอันดับ 3 ของไทยคือชิ้นส่วน อะไหล่รถ ตามมาด้วยเครื่องใช้ในบ้าน และอันดับ 5 คือของสะสม
แต่ละประเทศจะมีสินค้าที่นิยมแตกต่างกันออกไป อย่างฮ่องกงเด่นที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนไต้หวันจะเด่นที่อะไหล่รถ ขณะที่ญี่ปุ่นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านอนิเมะ สินค้าเด่นย่อมไม่พ้นกลุ่มตัวการ์ตูนของเล่น กระเป๋าแบรนด์เนมมือสองที่เชื่อถือได้ และกระโปรงฟูหวานสไตล์ Lolita
ตลาดหลักที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ของไทยคือสหรัฐอเมริกาคิดเป็นสัดส่วน 50% รองลงมาเป็นตลาดอังกฤษ ออสเตรเลีย เยอรมัน และรัสเซีย โดยผู้ขายหลัก 70% อยู่ในกรุงเทพฯ อีก 20% กระจายตัวอยู่ในเชียงใหม่และภาคเหนือ ที่เหลือ 10% อยู่ในภาคตะวันตก ภาคใต้ และภาคอีสาน
ทั้งนี้ “เครื่องประดับ เม็ดพลอย” ถูกยกให้เป็นสินค้าที่เติบโตสูงสุดเพราะช่างไทยรู้จักเลือกเม็ดพลอย และกำหนดราคาขายสอดคล้องไปกับคุณภาพ ขณะที่สินค้าเกษตรแปรรูปถือว่ามีโอกาสขายหากสอดคล้องกับตลาดผู้ซื้อ เช่น กลุ่มชา สมุนไพร เมล็ดกาแฟ แต่จะไม่มีจำหน่ายสินค้าสดเช่นทุเรียน
อย่างไรก็ตาม eBay ไม่ได้มองความท้าทายหลักเป็นเรื่องคู่แข่งในตลาดอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมองว่าตัวเองนั้นมีสินค้าที่ไม่เหมือนกับแพลตฟอร์มอื่นๆ และอาจหาได้ที่เดียวในโลกตัวอย่างเช่น ของสะสมหายาก เหรียญรุ่นพิเศษ การ์ดเบสบอลหรือการ์ดดารา
แต่ความท้าทายที่สุดคือการพัฒนาเทคโนโลยี และแชร์ข้อมูลเทรนด์ของผู้บริโภคให้กับผู้ขายที่มากขึ้น.