สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดตัวกฏระเบียบใหม่ในวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจปฏิเสธผู้คนหลายแสนรายที่ยื่นขอรับสถานะผู้อยู่อาศัยถาวร เนื่องจากคนเหล่านั้นยากจนเกินไป
กฎระเบียบใหม่ที่คาดหมายกันมานานและผลักดันโดย สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้ช่วยของทรัมป์ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านคนเข้าเมือง กฎนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม และจะปฏิเสธผู้ยื่นขอวีซ่าทั้งชั่วคราวและถาวรสำหรับผู้ที่มีมาตรฐานรายได้ไม่เข้าเกณฑ์ หรือสำหรับขอรับความช่วยเหลือสาธารณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการ คูปองอาหาร (food stamps) การเคหะและโครงการประกันสุขภาพ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรับประกันว่าพวกคนเข้าเมืองจะต้องพึ่งตนเอง “ไม่เอาแต่พึ่งทรัพยากรของภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว แล้วหันมาพึ่งพิงศักยภาพของตนเอง เช่นเดียวกับทรัพยากรของสมาชิกครอบครัวสปอนเซอร์และองค์กรเอกชน” คำประกาศที่เผยแพร่ในบันทึกราชการระบุ
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าจะเป็นกฎระเบียบที่เข้มงวดที่สุด ในนโยบายต่อต้านคนเข้าเมืองทั้งหมดของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ในขณะที่พวกทนายความเพื่อคนเข้าเมืองวิพากษ์วิจารณ์แผนดังกล่าวว่า เป็นความพยายามปรับลดจำนวนคนเข้าเมืองถูกกฎหมาย โดยหลีกเลี่ยงไม่ผ่านการแก้กฎหมาย ซึ่งจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรสเสียก่อน
องค์กรวิจัยสถาบันนโยบายคนเข้าเมืองระบุว่า ภายใต้กฎหมายนี้มากกว่าครึ่งของผู้ยื่นขอกรีนการ์ดให้กับคนในครอบครัวจะถูกปฏิเสธ และจากข้อมูลพบว่ามีการอนุมัติกรีนการ์ดแก่ผู้ยื่นขอกว่า 800,000 รายในปี 2016
กฎระเบียบใหม่นี้มีรากฐานมาจากกฎหมายคนเข้าเมือง 1882 ซึ่งอนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธวีซ่าใครก็ตามที่อาจจะกลายเป็นบุคคลที่ต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐ (public charge)
เดิมทีพวกคนเข้าเมืองซึ่งไม่มีถิ่นที่อยู่ส่วนใหญ่ ไม่มีสิทธิ์รับความช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือต่างๆ จนกว่าพวกเขาจะได้รับกรีนการ์ดแต่ภายใต้กฎระเบียบใหม่ที่เผยแพร่โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้ขยายคำจำกัดความของ public charge ในการปฏิเสธบุคคลต่างๆ เพิ่มเติม
นั่นหมายความว่าเวลานี้ผู้ยื่นความจำนงจำเป็นต้องแสดงรายได้ระดับสูงขึ้นเพื่อให้ได้รับวีซ่าสหรัฐฯ