“แอร์เอเชีย” ปิ๊งไอเดียเช็คอินด้วยใบหน้า ลดเวลาครึ่งนึง แค่ 45 วินาทีเท่านั้น

ภาพ : facebook.com/pg/AirAsiaThailand

ปัจจุบันคนไทยมีการท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศมากขึ้น การเดินทางด้วยเครื่องบินก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สะดวก และประหยัดเวลาไปได้เยอะ แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินนี่เองก็มีขั้นตอนการเช็คอินเพื่อระบบความปลอดภัยมากมาย

ล่าสุดทาง “แอร์เอเชีย” ได้เสนอระบบการเช็คอินด้วยใบหน้า หรือ FACEs Recognition เป็นระบบความปลอดภัยที่คุ้นเคยกับสมาร์ทโฟนในยุคนี้ ซึ่งระบบนี้สามารถช่วยประหยัดเวลาในการเช็คอินได้ถึงครึ่งหนึ่ง ใช้เวลาเพียงแค่ 45 วินาทีเท่านั้น

สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) (AAV) และสายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) กล่าวว่า 

“แต่ละปีเรามีผู้โดยสายประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเคาน์เตอร์เช็คอินปกติ ใช้เวลา 90 วินาที ผู้โดยสารอาจจะไม่สะดวก ขณะที่ระบบเช็คอินด้วยใบหน้าผู้โดยสารใช้เวลาลดลงครึ่งหนึ่งเหลือไม่เกิน 45 วินาที อีกทั้งมีความปลอดภัย การยืนยันตัวบุคคลและประหยัดพื้นที่เช็คอินอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นสนามบินที่นำมาใช้ เช่น สนามบินชางฮี (สิงคโปร์), สนามบินฮีทโธรว์ (อังกฤษ) และ สนามบินบังกาลอร์ (อินเดีย)”

แต่ขณะนี้เป็นการนำเสนอแนวคิด ซึ่งต้องศึกษาและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าจะทำได้อย่างไร ซึ่งรมช. คมนาคมได้ตั้งคณะทำงานแล้ว จากนั้นเมื่อสรุปศึกษา และได้รับอนุญาต จะเป็นการทดลองที่สนามบินอุดรธานี อุบลราชธานี บุรีรัมย์

นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

ทางด้าน ถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังให้ผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เข้าพบ ว่า ทางสายการบินได้นำเสนอแนวคิดในการนำนวัตกรรมระบบเช็คอินด้วยใบหน้า (FACEs Recognition) มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วกับผู้โดยสาร ซึ่งปัจจุบัน สายการบินแอร์เอเชียให้บริการเส้นทางบินใน 20 ประเทศ โดยได้มีการใช้ทดลองและใช้ที่ประเทศมาเลเซียแล้ว จึงต้องการที่จะทดลองใช้กับประเทศไทย

ซึ่งระบบ เช็คอินด้วยใบหน้า มีเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องขออนุญาต เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สำนักทะเบียน กระทรวงมหาไทย และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่เกี่ยวโยงถึงมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ด้วย ดังนั้น จะต้องศึกษาการพัฒนาและการให้บริการที่ทันสมัยต้องควบคู่ไปกับ การป้องกันปัญหาอาชญากรรมและข้อมูลส่วนบุคคลด้วย

ทั้งนี้ จึงได้ตั้งคณะทำงาน ศึกษาแนวทาง โดยมีนายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดี ด้านโครงสร้างพื้นฐาน กรมท่าอากาศยาน (ทย.) เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งความมั่นคง และด้านการบิน ทำการศึกษาผลดีผลดีและให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ปลอดภัยมากที่สุด ให้เวลาภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ หากยังไม่แล้วเสร็จให้ขยายเวลาศึกษาได้ภายใน 15 วัน ซึ่งหลังศึกษาเสร็จ มีการตกลง ว่าจะให้ทำการทดสอบที่สนามบินบุรีรัมย์ น่าน นครพนม และร้อยเอ็ด.

Source