สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เผยโพลบิ๊กธุรกิจมองเศรษฐกิจไทยใน 6 เดือนข้างหน้ายังไม่สดใส ชี้ทางออกเดียวคือสงครามการค้าต้องคลี่คลาย
ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า
“ธนาคารทำการสำรวจความคิดเห็นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ผู้จัดการกองทุน นักลงทุนรายใหญ่ จำนวน 100 คน ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า พบว่าเศรษฐกิจไทยไม่สดใส นักลงทุนทำธุรกิจแบบระมัดระวัง เพราะกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ – จีน โดยครึ่งหนึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้า และอีกร้อยละ 30 คิดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบในไม่ช้า ทำให้ไม่มั่นใจว่าประเทศไทยจะได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศมาไทย”
โดยผลสำรวจมองว่า หากสงครามการค้ามีทางออกคลี่คลายจะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้า แต่หากไม่มีทางออก ก็ยังไม่เห็นปัจจัยหรือมาตรการอื่นมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ รวมทั้งนโยบายทางการเงินจะมีบทบาทน้อยลง
ซึ่งผลสำรวจร้อยละ 80 เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำสุดที่ร้อยละ 1.25 จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.50 และมีโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยลงไปอีก เพราะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยคาด GDP ปีนี้โตร้อยละ 3 ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท หลังจากเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในเอเชียถึงร้อยละ 7 ตั้งแต่ต้นปี 2562 ซึ่งผลสำรวจร้อยละ 60 ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าเกินพื้นฐาน สูญเสียตลาดส่งออกมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเงินบาทจะแข็งค่าต่ออีก 2 เดือน และอาจจะเกิดการปรับฐานตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เงินบาทมีโอกาสอ่อนตัวเล็กน้อยในช่วงปลายปีนี้ มาอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ผลสำรวจนักลงทุนคาดหวังนโยบายการคลังมากระตุ้นเศรษฐกิจ และติดตามการพิจารณางบประมาณปี 2563 ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพราะหากงบประมาณไม่ผ่านจะกระทบทำให้ไม่เกิดการลงทุนใหม่ ดังนั้น คาดหวังให้งบประมาณผ่านสภา และรัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ชิมช้อปใช้” นั้น ทางธนาคารเห็นด้วยที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและการส่งออกหดตัว โดยเห็นว่ารัฐบาลควรเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว