วันนี้ไม่มีบริษัทใดในโลกที่จ้างพนักงานมากกว่า Walmart สถิติระบุว่าเจ้าพ่อค้าปลีกมีพนักงาน 2.2 ล้านคนทั่วโลก แต่ปัญหาคือตลาดงานกำลังฝืดเคืองเพราะการขาดแคลนบุคลากร ทางออกที่ Walmart มองคือการดึงกลุ่มวัยรุ่นให้สนใจทำงานกับ Walmart ด้วยการเสนอสวัสดิการด้านการศึกษา
ซึ่งเป็นเกมที่แบรนด์อย่าง Starbucks, McDonald’s และ Disney ก็เล่นในกระดานเดียวกัน กลายเป็นทิศทางใหม่ของตลาดแรงงานโลกในอนาคต ที่จะเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันแบบพลิกฝ่ามือ
ดึงเด็กมัธยมเข้าทำงาน พร้อมแรงจูงใจเพียบ
หากมองที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ข้อมูลระบุว่าอัตราการว่างงานของประชาชนแดนลุงแซมนั้นต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้ฝ่ายบุคคลของหลายบริษัททั่วสหรัฐฯ กำลังพยายามหาทางดึงตัวหัวกะทิแรงงานเลือดใหม่มาให้ได้มากที่สุด
สำหรับ Walmart พบว่าจำนวนพนักงานในสหรัฐฯ มีอยู่ 1.4 ล้านคนนั้น เป็นเด็กมัธยมไม่ถึง 25,000 คน แน่นอนว่า Walmart ทราบดีว่าสัดส่วนนี้ถือเป็นจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ดังนั้น Walmart
จึงเริ่มใช้วิธีการสรรหาพนักงานใหม่ เช่น การเสนอให้สิทธิ์นักเรียนมัธยมที่ทำงานกับ Walmart ได้สอบ SAT และ ACT ฟรีเพื่อตอบโจทย์เด็กนักเรียน high school ให้สอบวัดผลเพื่อใช้ในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
โดย Walmart จะเตรียมเงินอุดหนุนก้อนใหญ่เพื่อเป็นค่าเล่าเรียนและโอกาสที่จะได้รับเครดิตหน่วยการเรียนจากวิทยาลัย
ดึงวัยรุ่นเพราะทุนต่ำ
เหตุผลที่ทำให้ Walmart รวมถึงหลายแบรนด์ลงทุนด้านสวัสดิการมากมายเพื่อดึงวัยรุ่นให้ร่วมงานกับบริษัทมากขึ้น คือการจ้างพนักงานวัยละอ่อนมีข้อดีเรื่องค่าแรงที่น้อยกว่าวัยซีเนียร์ และโดยทั่วไปแล้วยังง่ายต่อการฝึกอบรมให้เหมาะสมกับความต้องการของบริษัท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการไม่มีนิสัยเก่าที่ต้องจัดระเบียบ
ข้อดีของการจ้างวัยรุ่นทำให้แบรนด์เช่น Starbucks, McDonald’s, Disney และ Chipotle รวมถึง Walmart ล้วนมอบสิทธิประโยชน์ทางการศึกษา และชีวิตส่วนตัวมากมายเพื่อดึงวัยรุ่นให้มาร่วมงาน อย่างไรก็ตาม การสำรวจพบว่าวัยรุ่นสมัยใหม่ไม่ได้นิยมทำงานเหมือนวัยรุ่นในยุคเก่า สังเกตได้ชัดจากอัตราการทำงานพาร์ทไทม์ของวัยรุ่นที่น้อยลงมาก
สถิติพบว่าหากย้อนกลับไปในยุค 70 วัยรุ่นเกือบ 45% ตัดสินใจทำงานนอกเวลาระหว่างเรียน แต่ในปี 2018 ที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยของวัยรุ่นอเมริกันที่ทำงานนอกเวลานั้นลดลงเหลือประมาณ 29% เท่านั้น
เปลี่ยนรับยุคอัตโนมัติ
การเปลี่ยนแปลงนี้ยังมีคำถามที่ค้านกันหลายส่วน ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้น ในวันที่หลักสูตรธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลงมหาศาลในช่วง 10 ปีนับจากนี้ หรือระยะเวลาที่แบรนด์จะสามารถอัดฉีดโครงการให้สวัสดิการเหล่านี้
เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับการดึงดูดแรงงานในยุคก่อน แม้ทั้งหมดนี้จะยังไม่แน่ชัด แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนคือตลาดแรงงานจะเปลี่ยนแปลงเพื่อรับยุคระบบอัตโนมัติในอนาคต
Rachel Cerison ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทด้านการศึกษา Guild Education แบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ฟันธงว่าเกมดึงหัวกะทิเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่หรือไม่ในยุคที่ตลาดงานเปลี่ยนไป โดยระบุเพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการพยายามปรับตัวของธุรกิจและตลาดแรงงาน เนื่องจากทุกฝ่ายรู้ดีว่าแรงงานกลุ่มผู้ขับรถบรรทุก และแคชเชียร์จะถูกระบบอัตโนมัติแทนที่แน่นอนในช่วง 10 ปีนับจากนี้
ดังนั้นทุกคนจึงต้องพัฒนาทักษะความรู้ให้ดีกว่าเดิม กลายเป็นการผลักดันทั้งผู้เรียนและผู้สอนในตลาดแรงงานแบบครั้งใหญ่ในวงกว้างชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน