LVMH กลุ่มธุรกิจแบรนด์หรูฝรั่งเศส เจ้าของกระเป๋าหลุยส์วิตตองชื่อดังได้เข้าทาบทามติดต่อซื้อกิจการ Tiffany & Co ธุรกิจเพชรแบรนด์หรูสัญชาติสหรัฐอเมริกา หลังเจอผลกระทบจากภาษีเข้าจีนในสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
เป็นที่ทราบดีกันว่า LVMH ใช้ความพยายามมานานหลายปีในการที่จะขยายเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ทางบริษัทได้ยื่นข้อเสนอเบื้องต้นที่ไม่มีผลผูกพันต่อ Tiffany & Co เมื่อต้นเดือนนี้
และพบว่าทาง Tiffany & Co ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาให้ทำการตรวจสอบข้อเสนอของ LVMH แต่ยังไม่ได้มีการตอบกลับไป และยังไม่มีความไม่แน่นอนว่าทางบริษัทจะยอมเปิดการเจรจาในข้อตกลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ราคาที่ทาง LVMH ได้เสนอสำหรับการซื้อ Tiffany & Co มีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 11,900 ล้านดอลลาร์นั้นยังไม่สามารถรู้ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงไฟแนนเชียลไทม์สกล่าวว่า จะกลายเป็นการเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่สุดของกลุ่มธุรกิจ LVMH
ไฟแนนเชียลไทม์สกล่าวว่า การเข้ามาขอซื้อกิจการต่อ Tiffany & Co ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แบรนด์ต้องปรับตัวอย่างหนัก รวมไปถึงการจับจ่ายที่น้อยลงของนักท่องเที่ยว เงินดอลลาร์แข็งตัว และสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
Alessandro Bogliolo, CEO ของ Tiffany & Co ได้พยายามผลักดันแบรนด์ให้ไปอยู่ตลาดบนมากขึ้น และเมื่อต้นปีนี้ เขาได้เปิดเผยกับนักลงทุนว่า Tiffany & Co ได้พบความสำเร็จกับเพชร และอัญมณีเครื่องประดับอื่นๆ ที่มีราคาสูงขึ้น
รอยเตอร์ชี้ว่า นอกเหนือจากภาษีที่ถูกปรับขึ้นเนื่องมาจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่กระทบต่อการส่งออกของ Tiffany & Co ไปยังจีนแล้ว ยังพบว่าการลดอัตราภาษีการขายภายในประเทศจีนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปริมาณการขายลดลงเป็นตัวเลข 2 หลักของ Tiffany & Co ต่อนักท่องเที่ยวจีนในสหรัฐฯ และในที่อื่นๆ
รวมไปถึงการประท้วงฮ่องกงที่ลากยาวมาร่วมเกือบ 4 เดือนได้สร้างผลกระทบต่อตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยด้วยเช่นกัน
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Tiffany & Co ได้เสนอไลน์สินค้าที่มีราคาต่ำลงที่คนธรรมดาสามารถจับต้องได้เป็นต้นว่า จี้ หรือ ต่างหู เพื่อดึงดูดคนยุคมิลเลเนียลที่มีความต้องการในสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าจากบริษัทคู่แข่งอย่าง แพนโดรา และ Signet Jewelers
Tiffany & Co ก่อตั้งเมื่อปี 1837 โดย Charles Lewis Tiffany และมีร้านเพชรสุดหรูที่ถนน 5th Avenue ในเมืองแมนแฮตตัน ในปีที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายสุทธิได้ราว 4,400 ล้านดอลลาร์ มีพนักงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 14,000 คน
